
ปฏิเสธไม่ได้เลยนะครับว่าเกมยุคปัจจุบันนั้น มีให้เล่นอย่างหลากหลายไม่ซ้ำหน้าซ้ำตา และหาความสนุกได้จากแทบทุกประเภท
แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในยุคปัจจุบันเลยก็คือ ความสมจริงของเนื้อหาเกม ที่ดูจะเพิ่มเรื่องของการเล่นอารมณ์กับคนเล่นมากขึ้น จนมากพอที่จะจับกระชากดำดิ่งลงไปสู่ความดาร์คของเกมได้เลย และดูแล้ว คนเป็นเกมเมอร์ยุคนี้ ก็ดูจะชอบอะไรแบบนี้เพิ่มขึ้นเสียด้วย?!
ความหนักแน่นและสะเทือนอารมณ์ของเนื้อเรื่องเกมส่งผลต่อคนเล่นในยุคปัจจุบันได้อย่างไร และมีเหตุผลอะไรที่ทำให้พวกเขาชอบความดาร์คของเกม เรามาไล่ดูกันทีละหัวข้อครับ
เพราะการเล่นเกม ไม่ใช่แค่ความบันเทิงด้านบวก
ก่อนอื่นเลยกับเรื่องที่ว่า จุดมุ่งหมายของคนเล่นเกมแล้วพยายามหาความบันเทิง คือสิ่งที่เป็น Priority หลักอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่เข้ามาแล้ว เข้ามาเพราะอยากเจอกับความ suffer หละ? อันดับแรกก็ต้องดูที่การวางเนื้อเรื่องเลย
การวางเนื้อเรื่อง หรือประเภทของเกม คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความหม่นของโทนเกมได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น เราอยากเล่นเกม แต่อยากเล่นในแนวที่หาด้านความสมจริงจากสงคราม ก็เล่น This War is Mine เพื่อให้ซึมซับไปกับสงครามได้อย่างถึงอารมณ์สุด ๆ
เน้นเจ็บที่ใจ ไม่ใช่เจ็บตัว
จั่วหัวมาแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไปต่อยตีกับใคร แต่ต้องบอกว่า การหาโทนของความรุนแรงในวิดีโอเกมนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นแค่จากตัวของเกมเพลย์ ที่เป็นแนว Fighting, Shooting หรือนิยามอยู่แค่นั้น แต่ความรุนแรง มันหยั่งไปถึงความสะเทือนอารมณ์ กระชากจิตใจไปถึงจุดดิ่ง ชนิดที่บางจุดอาจจะไม่ต้องมีเลือดสาดเลยก็ได้
โอเคว่าเนื้อเรื่องของเกมนั้น ต้องสัมพันธ์กับตัวเหตุการณ์ ฉากในเกม ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าอยู่ดี ๆ ตัวเกมมันจะดาร์คมาเองลอย ๆ ไม่ได้ มันต้องมีฉากที่มีความตาย หรือฉากหักมุมที่เป็นการฆาตกรรม หรือความล้มเหลวของภารกิจภายในเกมเอง
แต่สิ่งที่เกมพยายามมุ่งเน้นมา คือเกมไม่ได้จะเจาะจงให้เราจับเฉพาะตัวของฉากที่มันโหดร้ายอยู่ไม่กี่ฉาก ทว่ามันคือองค์รวมของเนื้อเรื่องทั้งหมด ที่กว่าจะมาถึงจุดพลิกผันต่าง ๆ ว่าต้องสูญเสียอะไรกันไปเท่าใด
สภาพสังคมปัจจุบัน
สังคมในยุคปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่งผลให้คนรุ่นใหม่นั้น ใช้ชีวิตยากขึ้น ทั้งในเรื่องของโรคระบาด สภาพอากาศและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป รวมไปถึงสงคราม ทำให้ผู้คนนั้น เกิดความไม่แน่นอนขึ้นในการใช้ชีวิต
นอกจากคนรุ่นใหม่แล้ว คนในวัยกลางคนจนไปถึงเจนสูงอายุนั้น ก็เริ่มที่จะเห็นถึงสภาพชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนแตกต่างกับช่วงเวลาที่เติบโตมาอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยความที่เรื่องแวดล้อมสั่งสมต่อผู้คนในชีวิตจริง ทำให้ในการเล่นเกม พวกเขาก็อยากที่จะทั้งปลดปล่อย และสัมผัสกับชีวิตที่มีความปวดร้าวขึ้นไปอีก เพื่อตอกย้ำความรู้สึกตัวเอง
เกมคือครู และผู้ถ่ายทอด
พรรณาไปถึงโลกอันโหดร้ายในปัจจุบันไปให้อ่านแล้ว ทีนี้กลับมาที่ตัวคนเล่นแบบเจาะจง ที่ว่าทำไมพวกเขาถึงต้องการจะรับอะไรที่มันดูสะเทือนอารมณ์ หรือดาร์ค ๆ หน่อย ในการเล่นเกมยุคนี้
นั่นก็เพราะเกมในยุคนี้ มันก็คือสันทนาการแบบหนึ่ง ที่ถ่ายทอดได้ทั้งแง่บวกและลบ ไม่ต่างอะไรกับการอ่านหนังสือ หรือเปิดภาพยนตร์ดู ซึ่งมันก็คือการรับประสบการณ์แบบจำลองในรูปแบบหนึ่ง
และเมื่อเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นเหตุการณ์ในแง่ลบ หรือทำให้เกิดความรู้สึกที่สะเทือนใจต่อผู้เล่น ทั้งไคลแมตช์ที่หักมุม หรือฉากการตายของตัวละครที่ดูแล้วต้องเสียน้ำตาให้เพราะความผูกพันธ์ นั่นก็ทำให้เกิดความตราตรึงแก่ผู้รับสาร คือผู้เล่นเกมเอง
การรับประสบการณ์ในด้านความเสียใจ, โศกเศร้า หรือสูญเสีย คือความรู้สึกหนึ่ง ที่ไม่สามารถจะถ่ายทอดกันได้ง่าย ๆ แต่การที่เกมยุคนี้ ทำให้เนื้อเรื่องของเกมเองเกิดความเข้มข้นกันได้ในระดับที่คนเล่นต้องเสียน้ำตก หรือช็อคซินิม่าแบบนี้ ก็ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ได้เล็กน้อย กับการเผชิญเหตุการณ์จำลองในเกมแบบนี้
สมจริงทั้งภาพ เสียง และเหตุการณ์
แน่นอนว่าสิ่งนึงที่ช่วย push and beyond กับประสบการณ์ของผู้เล่นเกมให้สูงขึ้นกว่ายุคก่อน ๆ ก็คือเรื่องของเทคโนโลยีความสมจริง ซึ่งพอภาพ และเสียง มีความคมชัดที่สุดแล้ว ก็ต้องมีการปั้นแต่งเนื้อเรื่องของเกม ให้ล้ำลึก สมจริงยิ่งขึ้นไปอีกด้วย
การใส่ความสมเหตุสมผลในการเปิดฉากหักมุมของเกม, การทำฉากการฆาตกรรมหรือฉากการเสียชีวิตที่ดูจะเสมือนจริงยิ่งขึ้น หรือการใส่บทสนทนาที่สามารถใส่ความสัมพันธ์เข้ากับความรู้สึกของผู้เล่นได้อย่างแยบคายจนน้ำตาไหล นี่ก็เป็นหนึ่งในกลไกการทำเกมให้สมจริงยิ่งขึ้น ผ่านการเกลาเนื้อหาของมัน
เนื้อหาที่ซ้อนเร้นของเกม
สิ่งที่อันตรายต่ออารมณ์ของผู้เล่น ที่พบกับความหม่นหมองเลวร้ายของเนื้อเรื่องที่จับต้องได้ คือการที่ผู้เล่นเพิ่งมาตระหนักได้ในทีหลัง ถึง “เนื้อหาที่ซ่อนเร้น” ของเกมที่ดูจะไม่เป็นพิษภัยต่อความรู้สึกของพวกเขามาก่อนนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น Bendy and the Ink Machine ที่อาจไม่เข้าข่าย เพราะตัวเกมภาพอาจดูเป็นคอมิคก็จริง แต่สามารถจับต้องความหม่นหมองของเรื่องได้จากโทนเกมอยู่แล้ว แต่ถ้าจะบอกว่า Cuphead มันคือเกมที่แฝงถึง sarcasm ต่อผู้คนในยุคทองหละ? ตัวละครที่ออกแบบมาให้ดูตลก อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นธีมของอบายมุขของคนยุคนั้น
หรือถ้านึกไม่ออก ลองมีคนสักคนพูดขึ้นว่า “คุณรู้รึเปล่าว่าเกม Pokemon ที่คุณเล่นอยู่นั้น มันไม่ต่างอะไรจากการทำโคลอสเซียมสัตว์สู้สัตว์ในยุคก่อนเลยสักนิด” ซึ่งถ้าฟังแบบติดตลกก็คงไม่คิดอะไร แต่ถ้าฟังแล้วคิดตามแบบเป็นเหตุเป็นผล จะรู้เลยว่าตามหลักความเป็นจริงแล้ว มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเทียบกันเลย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้เล่นสามารถที่จะพบเจอถึง hidden agenda ของเกมนั้น อาจจะไม่ใช่จุดที่ผู้พัฒนาจะใส่ไว้เองก็ได้ แต่เป็นความรู้สึกในแง่ลบของคนเล่นเองมากกว่า ที่จะตีความไปแบบนั้น
ความล้ำค่าของการเสริมเนื้อหาเกม
สิ่งสุดท้ายที่สามารถตอกย้ำได้ถึงเรื่องของความเข้มข้นของเนื้อเรื่องเกมได้ก็คือ มูลค่าของตัวเกม Single Player ที่ยังไม่ได้ตกลงไปในยุคของเกมระบบออนไลน์ในปัจจุบันแต่อย่างใด
ยิ่งตัวของ developer พยายามที่จะกล่อมเกลาเนื้อหาของตัวเกมให้มีความเข้มข้นและชวนดราม่ามากเท่าใด เกมก็ยิ่งทัชกับความรู้สึก และตัวเกมก็ดูที่จะสร้างความผูกพันธ์ทางความรู้สึกต่อตัวคนเล่นได้มากขึ้น ซึ่งมันก็ได้ส่งต่อในด้านการผูกเนื้อเรื่องจากเกมออนไลน์ด้วย
ดังที่เราจะเห็นในยุคปัจจุบัน ที่เกมระบบออนไลน์พยายามที่จะผูกเนื้อเรื่องผ่าน Lore ของตัวละคร ด้วย background ที่สุดแท้แล้วแต่ dev จะสรรค์สร้างให้ผู้เล่นรู้สึกเข้าถึงตัวละคร ซึ่งหนึ่งในแขนงที่ทำได้ง่าย คือการใส่ความระทมให้กับตัวละครไป
นี่ยังไม่นับรวมกับการใส่เนื้อเรื่องผูกเข้าไปกับแมป หรือกระทั่งไอเทมในเกมอีกด้วย ที่กว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึงมือ จะต้องเสียอะไรไปบ้าง อย่างใน Modern Warfare 2019 ที่ใส่ “ไฮเวย์มรณะ” ที่ถึงแม้จะดัดแปลงที่มา แต่ความดาร์คของเหตุการณ์ที่เกิดกับที่แห่งนั้น ก็ไม่ลดลงไปเลย
ด้วยเหตุผลประกอบดังนี้ คงพอทำให้เพื่อน ๆ เห็นภาพของเหล่านักผจญเกมที่ปัจจุบันดูจะมุ่งมั่นในการเสพความ suffer ในเกมกันนะครับ ซึ่งถ้าใครมีเหตุผลอื่น ๆ ประกอบก็ลองแชร์และพูดคุยกันได้เลย
เรื่องโดย: ณัฐพงศ์ กงแก้ว
แหล่งข้อมูลประกอบ