
หากกล่าวถึงฆาตกรต่อเนื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลก ชื่อของ เอช. เอช. โฮล์มส์ ฆาตกรต่อเนื่องรายแรกของสหรัฐอเมริกาย่อมเป็นหนึ่งในนั้น เพราะเชื่อว่าผู้ชื่นชอบเรื่องราวสยองขวัญคงไม่มีใครไม่รู้จักเขา รวมถึงโรงแรมสยอง Murder Castle สถานที่ซึ่งเป็นห้องเชือดเหยื่อมากกว่า 200 ราย
ความสยองขวัญของ Murder Castle ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับงานสยองขวัญมากมายในยุคหลัง (ล่าสุดคือเกม The Devil in Me) แต่คุณรู้หรือไม่ว่า เรื่องราวความสยองของโรงแรมที่เต็มไปด้วยห้องลับและประตูกล อาจเป็นเพียงเรื่องโกหกที่ถูกแต่งเติมตั้งแต่กว่าร้อยปีก่อน …
The E World ย้อนเรื่องราวสยองขวัญและคำโป้ปดของของ Murder Castle และเอช. เอช. โฮล์มส์ กับแนวคิดของคนรุ่นหลังที่เชื่อว่า Murder Castle อาจไม่มีอยู่จริง และเรื่องราวทุกอย่างอาจเกิดขึ้นเพียงเพราะใครคนหนึ่งขี้โม้ และหนังสือพิมพ์ที่ต้องการยอดขายมากขึ้นเท่านั้น
ทำความรู้จักกับ เอช. เอช. โฮล์มส์
เอช. เอช. โฮล์มส์ หรือในชื่อโดยกำเนิด เฮอร์มัน เว็บสเตอร์ มัดเกตต์ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ปี 1861 ที่เมืองกิลแมนตัน รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
เขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ร่ำรวยและมีฐานะ กล่าวกันว่าโฮล์มส์มีความสุขอย่างมากกับชีวิตที่เต็มไปด้วยสิทธิพิเศษในวัยเด็ก แถมยังได้รับคำชื่นชมในฐานะเด็กที่มีความฉลาดหลักแหลมตั้งแต่อายุยังน้อย
น่าเสียดายที่สมองอันปราดเปรื่องของโฮล์มส์มาพร้อมกับความวิกลจริตที่ซ่อนอยู่ยังเบื้องหลังเพราะโฮล์มส์เป็นคนที่มีความหลงไหลในการชำแหละร่างกายของสิ่งมีชีวิตมาก
ส่งผลให้เขามักจะนำสัตว์มาทำการผ่าตัดเพื่อตรวจสอบและศึกษาอวัยวะภายในอยู่เป็นประจำ ซึ่งภายหลัง มีการกล่าวว่าโฮล์มส์อาจไม่ได้ฆ่าสัตว์เพื่อเอามาชำแหละเพียงอย่างเดียว แต่อาจรวมถึงเพื่อนสมัยเด็กบางคนของเขาด้วย
เมื่อเวลาผ่านไป โฮล์มส์เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยรัฐมิชิแกนในฐานะนักศึกษาแพทย์ ช่วงเวลานี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาเดินบนเส้นทางสายอาชญากรรมเต็มตัว
หลังเขาตัดสินใจผันตัวเองเป็นนักต้มตุ๋นผ่านการขโมยศพจากห้องทดลองของมหาวิทยาลัย ก่อนนำไปเผาหรือทำให้เสียโฉมเพื่อไม่ให้มีใครจำได้ จากนั้นจึงกุเรื่องว่าศพเหล่านี้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เพื่อไปเอาเงินจากกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้เสียชีวิตทำไว้
มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าโฮล์มส์อาจฆาตกรรมเพื่อนบางคนเพื่อเอาเงินประกัน รวมถึงแอบขโมยบางศพเพื่อทำการชำแหละสนองความต้องการของตัวเอง แต่ไม่ว่าเขาจะทำอะไรบ้าง โฮล์มส์เอาตัวรอดจากความผิดทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว
ก่อนย้ายมาลงหลักปักฐานที่เมืองชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์ ราวปี 1885 ช่วงเวลานี้เองที่เขาตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ชื่อ เอช. เอช. โฮล์มส์ หรือ เฮนรี่ ฮาวเวิร์ด โฮล์มส์ โดยชื่อดังกล่าวได้รับแรงบันดาลใจจากตัวละครเชอร์ล็อค โฮล์มส์ นักสืบชื่อดังจากนวนิยายของเซอร์ อาเธอร์ โคนัน ดอยล์
เมื่อเปลี่ยนชื่อใหม่จนไม่มีใครทราบที่มา โฮล์มส์ตัดสินใจสมัครเข้าทำงานในร้านขายยาแห่งหนึ่งในฐานะเภสัชกร ซึ่งภายในระยะเวลาหลังจากนั้นไม่นาน เจ้าของร้านอย่างคุณหมอ อี. เอส. ฮอลตัน ได้เสียชีวิตลงเนื่องจากป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย
ร้านขายยาดังกล่าวจึงตกเป็นของภรรยาของคุณหมอฮอลตันแทน ก่อนที่ต่อมาไม่นาน ภรรยาของคุณหมอฮอลตันจะหายไปจากเมืองชิคาโก้ เหลือไว้เพียงโฮล์มส์ที่คอยเฝ้าร้านและกลายเป็นเจ้าของคนใหม่ ซึ่งโฮล์มส์ได้แจ้งกับผู้คนในละแวกนั้นว่า ภรรยาของหมอฮอลตันตัดสินใจย้ายไปใช้ชีวิตที่รัฐแคลิฟอร์เนีย และจะไม่กลับมาที่ชิคาโก้อีก
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของภรรยาหมอฮอลตัน แต่ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่าคือ มีการเปิดเผยในอีกหลายปีต่อมาว่า คุณหมออี. เอส. ฮอลตัน ไม่ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายอย่างที่หลายคนเข้าใจ
เพราะเขายังมีชีวิตอยู่หลังเอช. เอช. โฮล์มส์ ไปอีกหลายปี จึงเป็นไปได้สูงมากว่า เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับการครอบครองร้านขายยาในชิคาโก้ ถูกแต่งขึ้นมาโดยโฮล์มส์ทั้งหมดในภายหลัง
แต่ไม่ว่าเรื่องราวดังกล่าวจะจริงเท็จประการใด ร้านขายยาที่โฮล์มส์ครอบครองได้กลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เขาสามารถหาเงิน เพื่อกว้านซื้อที่ดินเปล่าในเมืองชิคาโก้ และนำมาสร้างเป็นสถานที่ซึ่งผู้คนรุ่นหลังจะรู้จักกันในชื่อ “Murder Castle” หรือ “ปราสาทแห่งการฆาตกรรม” นรกบนดินที่คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 200 รายในช่วงปี 1893 และยังคงเป็นสถานที่สุดหลอนที่ผู้คนไม่มีวันลืมจนทุกวันนี้
ยินดีต้อนรับสู่โรงแรมนรก
เหตุผลที่ Murder Castle กลายเป็นสถานที่ก่อเหตุฆาตกรรมกับเหยื่อจำนวนมาก นั่นเป็นเพราะในปี 1893 เมืองชิคาโก้เป็นเจ้าภาพในจัดงาน Chicago World's Fair หรือ World's Columbian Exposition เทศกาลเฉลิมฉลองครบรอบ 400 ปี การสำรวจค้นพบทวีปอเมริกาของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส โดยในงานดังกล่าวเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมมากมายจากกว่า 40 ประเทศ
ผู้คนมากมายกว่า 23 ล้านคน ต่างเดินทางมาที่เมืองชิคาโก้ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งในจำนวนผู้คนมากมายเหล่านั้น ส่วนหนึ่งคือผู้หญิงที่เดินทางมายังเมืองชิคาโก้เพียงลำพัง พวกเธอคือเป้าหมายหลักของโฮล์มส์ในการก่อเหตุฆาตกรรม แต่เพื่อจะดึงดูดผู้หญิงเหล่านั้น โฮล์มส์จำเป็นต้องมีสถานที่ซึ่งสามารถสร้างความมั่นใจแก่เหยื่อผู้โชคร้ายให้ได้มากที่สุด
Murder Castle จึงถูกออกแบบเป็นโรงแรมเพื่อต้อนรับแขกจากงาน World's Fair โดยเฉพาะ เริ่มต้นจากการตั้งชื่อโรงแรมแบบตรง ๆ ว่า “World’s Fair Hotel” ตามด้วยการสร้างโรงแรมเป็นตึกสามชั้น โดยชั้นล่างสุดเป็นร้านค้าเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้ามาช็อปปิ้ง
ส่วนอีกสองชั้นบนเป็นห้องพักสำหรับแขกผู้มาเยือน เพียงเท่านี้ World’s Fair Hotel จึงกลายเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ทันสมัยที่สุดของเมืองชิคาโก้ในเวลานั้น
โชคร้ายที่เบื้องหลังของโรงแรมอันสวยงาม คือห้องเชือดที่พร้อมปลิดชีวิตผู้เข้าพักทุกคนแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เนื่องจากโฮล์มส์ได้ออกแบบให้ห้องพักของเขาถูกสร้างขึ้นในระบบเก็บเสียง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครได้ยินเสียงของเหยื่อที่กำลังกรีดร้อง ยิ่งไปกว่านั้น Murder Castle ยังเต็มไปด้วยทางเดินลับที่เปิดโอกาสให้โฮล์มส์ปรากฎตัวตรงไหนก็ได้ในตึกโดยไม่มีใครล่วงรู้
ในทางกลับกัน ทางเดินของโรงแรมกลับถูกออกแบบเป็นเขาวงกตเพื่อสร้างความสับสนแก่ผู้เข้าพัก แถมโรงแรมยังเต็มไปด้วยประตูและบันไดที่พาแขกเดินไปพบทางตัน นั่นเป็นเพราะยังมีห้องลับอีกมากถูกซ่อนไว้ โดยมีแค่โฮล์มส์เพียงคนเดียวที่รับรู้ทางเข้า กล่าวกันว่า บางส่วนของกำแพงในโรงแรมสามารถเคลื่อนเพื่อเปิด-ปิดได้ด้วย
เมื่อเหยื่อเข้าไปในห้องพักซึ่งมีขนาดค่อนข้างคับแคบ เหยื่อจะมีลักษณะเหมือนหลุดเข้าไปในห้องปิดตาย เนื่องจากห้องพักในโรงแรมแห่งนี้จะสามารถล็อคประตูได้จากด้านนอกเท่านั้น
เมื่อบวกกับระบบการให้แสงสว่างในห้องที่ขึ้นอยู่กับตะเกียงแก๊สซึ่งเชื่อมโยงกับตะเกียงแก๊สภายนอกห้องพัก นั่นจึงส่งให้โฮล์มส์สามารถปล่อยแก๊สเข้าไปในห้องของเหยื่อ เพื่อให้ผู้คนขาดอากาศหายใจได้ตามต้องการ
ยิ่งกว่านั้น ทุกห้องพักในโรงแรมแห่งนี้จะมีประตูกลเพื่อส่งร่างของเหยื่อสู่ชั้นใต้ดิน อันเป็นสถานที่ซึ่งโฮล์มส์จะทำลายศพของเหยื่อโดยไม่มีใครเห็น กล่าวกันว่า ห้องใต้ดินของ Murder Castle คือสถานที่สุดขยะแขยงเท่าที่ใครจะนึกออก เพราะมันเต็มไปด้วยบ่อกรด, บ่อปูนขาว และเตาเผาศพ ซึ่งโฮล์มส์จะเลือกกำจัดเหยื่อด้วยวิธีที่แตกต่างกันไปตามแต่ละสภาพศพ
ถึงตรงนี้คงต้องอธิบายอย่างชัดเจนว่า เหตุผลเดียวที่ทำให้เบื้องหลังของโรงแรมสุดสยองนี้ไม่หลุดออกไปสู่หูผู้คนภายนอก คือการที่เขาตัดสินใจว่าจ้างและไล่ออกผู้รับเหมาก่อสร้างหลายราย ตลอดระยะเวลาราว 1-2 ปีในการสร้างโรงแรมแห่งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้าใจโคงรงสร้างทั้งหมดของโรงแรมในรูปแบบที่เขามองเห็น
เพราะเมื่อมองในภาพรวมที่เสร็จสมบูรณ์ Murder Castle คือตึกสามชั้นที่เต็มไปด้วยห้องพิศวงมากกว่า 60 ห้อง, ประตูกลที่ผู้เข้าพักไม่มีวันได้เปิดออก, ผนังที่สามารถพ่นไฟหรือรมแก๊สพิษใส่เหยื่อ, บันไดที่ซุกซ่อนหลังกำแพง, ห้องโถงซึ่งปราศจากกระจกและทางออก และทางลับซึ่งจะพาคุณปรากฎตัวได้ทุกที่
เพียงเท่านี้คงเห็นได้ชัดแล้วว่า Murder Castle คือห้องทรมานขนาดยักษ์ที่ถูกสร้างเพื่อจุดประสงค์เดียว คือทรมานและฆาตกรรมมนุษย์
โฮล์มส์ครอบครองโรงแรมแห่งนี้จนถึงเดือนตุลาคม ปี 1893 ก่อนตัดสินใจเผาโรงแรมของตัวเองทิ้งเพื่อเอาเงินประกันหลังเทศกาล World’s Fair สิ้นสุดลง ก่อนจะระหกระเหินไปทั่วสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในปี 1896 ถือเป็นการปิดตำนาน เอช. เอช. โฮล์มส์ ฆาตกรต่อเนื่องรายแรกของสหรัฐอเมริกาในที่สุด
ความสยองที่เกิดขึ้นจริงหรือเป็นเพียงแค่คำลวง
แม้ Murder Castle จะเป็นสถานที่สยองขวัญซึ่งฝังใจผู้คนมายาวนานนับทศวรรษ แต่ความน่าหวาดกลัวของสถานที่แห่งนั้นกลับไม่ได้มีแค่ห้องปิดตายที่ไร้ทางออกหรือบันไดลับที่ไม่มีใครสามารถเข้าถึง เพราะทักษะทางจิตวิทยาในการล่อลวงหรือความสุขที่ได้เห็นเหยื่อของตนทรมานต่างหาก คือความสยองขวัญอันแท้จริงที่ถูกสร้างขึ้นโดยปีศาจอย่าง เอช. เอช. โฮล์มส์
มีรายงานที่กล่าวตรงกันชัดเจนว่า โฮล์มส์มีวิธีการมากมายหลากหลายในการล่อลวงเหยื่อเพื่อมาเข้าพักในโรงแรมของตน เริ่มตั้งแต่วิธีง่าย ๆ อย่างแปะใบปลิวของโรงแรมไว้ทั่วเมือง ไปจนถึงการเสนองานในโรงแรมให้กับหญิงสาวที่มีบุคลิกภาพน่าดึงดูด
โดยโฮล์มส์จะเดินทางไปพูดคุยกับหญิงสาวเหล่านั้นด้วยตัวเอง เมื่อบวกกับภาพลักษณ์ภายนอกที่ทรงเสน่ห์และน่าเชื่อถือ หญิงสาวจำนวนมากจึงหลงคำลวงของโฮล์มส์ หลังเขาเสนอค่าจ้างอย่างงามให้กับพวกเธอ
โฮล์มส์ยังหลอกล่อเหยื่อด้วยการประกาศหาคู่แต่งงานของตน ซึ่งเมื่อมองไปยังสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ผู้คนมากมายยังคงทุกข์ยาก การคบกับเจ้าของโรงแรมผู้ทรงเสน่ห์แถมยังมีหน้าตาในสังคมอย่างโฮล์มส์จึงดูเป็นอะไรที่ตัดสินใจไม่ยากสำหรับหญิงสาวมากมาย
เพียงเท่านี้ โฮล์มส์จึงได้เหยื่อจำนวนมากเข้ามาสนองความสุขของตนโดยที่เขาไม่ต้องออกแรงเลย
และยิ่งเมื่อโฮล์มส์ได้หลอกล่อเหยื่อที่เขาต้องการสังหารมายังโรงแรมแล้ว ความวิปริตของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวี
มีการบันทึกเอาไว้ว่าเหยื่อหลายรายของโฮล์มส์ไม่ได้ถูกสังหารทันทีที่เข้าพักในโรงแรม แต่ถูกคุมขังเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนก่อนจะถูกฆาตกรรม ยิ่งกว่านั้น โฮล์มส์ยังติดสัญญาณเตือนภัยไว้ในห้องหากเหยื่อคนใดคิดหลบหนี นั่นยิ่งแสดงถึงเจตจำนงของเขาที่เลือกทรมานเหยื่อเพื่อความบันเทิงของตัวเอง
แม้ผู้คนภายหลังจะตั้งข้อสังเกตว่าโฮล์มส์ไม่ได้ฆ่าเพื่อความสนุก แต่เป็นการฆ่าเพื่อช่วงชิงทรัพย์สินเสียมากกว่า เพราะประวัติของเขาในช่วงชีวิตอื่นจะออกไปในแนวนักต้มตุ๋นมากกว่าฆาตกรต่อเนื่อง แต่ความสยองของ Murder Castle นำมาสู่ความพร่าเลือนระหว่างคำลวงและความจริง แม้แต่เรื่องราวบางส่วนที่คุณอ่านไปก่อนหน้านี้ ยังถูกตั้งข้อสงสัยในภายหลังว่าเป็นความเท็จหรือไม่
หนึ่งในเรื่องราวที่ถูกถกเถียงกันมากที่สุดคือห้องใต้ดินสุดสยองของโฮล์มสที่ถูกบรรยายเอาไว้อย่างน่ากลัวในนิตยสาร Harper's Magazine ฉบับเดือนธันวาคม ปี 1943 ถึงสภาพบ่อกรดที่น่ารังเกียจเกินบรรยาย แต่ในหนังสือ H.H. Holmes, The True Story of the White City Devil ที่เพิ่งตีพิมพ์เมื่อปี 2019 กลับชี้แจงว่าบ่อกรดถือเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเกินไปในช่วงเวลานั้น
แถมเรื่องราวชวนสยองที่เราได้อ่านกัน บางเรื่องก็ไม่ได้เป็นความจริงเสียทั้งหมด เช่น ห้องลับในอาคารที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่สังหารหรือแอบซ่อนศพ ความจริงแล้วมีไว้เพื่อเก็บบรรดาเครื่องเฟอร์นิเจอร์ที่โฮล์มส์ขโมยมาเท่านั้น
นอกจากนี้ Murder Castle ยังไม่เคยเปิดเป็นโรงแรมอย่างที่ผู้คนเข้าใจอีกต่างหาก โดยจนถึงตอนนี้มีการพิสูจน์ว่าเหยื่อของโฮล์มส์ที่เป็นเป็นนักท่องเที่ยวงาน World's Fair กลับมีเพียงรายเดียวเท่านั้น
เมื่อกลับมามองคำอ้างของโฮล์มส์ที่กล่าวว่าเขาสังหารผู้คนไปมากกว่า 200 รายใน Murder Castle โทนี่ สบาเซลกี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านเรื่องสยองขวัญในเมืองชิคาโก้กลับบอกว่าจนถึงขณะนี้ เราสามารถยืนยันเหยื่อที่เข้าไปในโรงแรมของโฮล์มส์แล้วไม่เคยกลับออกมาอีกเลยได้เพียง 9-10 คน
ส่วนการสูญหายของผู้คนอีกราว 200 ชีวิตที่โฮล์มส์กล่าวอ้าง อาจเป็นเพราะเขาคือฆาตกรที่ทำลายหลักฐานได้อย่างแนบเนียน หรือเป็นปีศาจที่สามารถโกหกได้อย่างลื่นไหลก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
ผู้เชี่ยวชาญเริ่มสันนิษฐานว่าเรื่องราวอันน่าสยองขวัญของ Murder Castle อาจถูกใส่สีตีไข่อย่างหนักโดยสื่อจำพวกวารสารสีเหลือง (yellow journalism) ซึ่งสื่อถึงหนังสือพิมพ์ที่เอาข่าวประเภทอื้อฉาวมาแต่งเติมจนเป็นเรื่องที่เน้นอ่านเอาสนุกมากกว่าจะได้สาระความรู้จริง โดยสื่อเหล่านี้แพร่หลายมากในช่วงปี 1890s ที่จรรยาบรรณสื่อไม่มีความสำคัญเท่าการเพิ่มยอดขายของหนังสือพิมพ์
ฮาโรลด์ สเก็ตเตอร์ ผู้เขียนหนังสือ Depraved: The Shocking True Story of America's First Serial Killer เปิดเผยว่าเรื่องราวการฆาตกรรมเหยื่อของงาน World's Fair ในโรงแรมของโฮล์มส์ ต่างเกิดขึ้นจากความโอ้อวดของตัวเขาที่กล่าวไปทั่วเมืองว่าจะสร้างโรงแรมขึ้นมา
ยิ่งบวกกับการเขียนเรื่องให้เกินจริงของเหล่าหนังสือพิมพ์สีเหลือง ทั้งหมดได้หลอมรวมกันจนเป็นความสยองที่เป็นตำนานของ Murder Castle อย่างที่เรารู้กันในปัจจุบัน
ถึงตรงนี้ มันคงเป็นเรื่องยากที่เราจะบอกว่าเรื่องราวของ Murder Castle จริงเท็จมากน้อยแค่ไหน ? แต่สิ่งที่เรายืนยันได้อย่างชัดเจนที่สุดคือ Murder Castle ไม่ใช่สถานที่ซึ่งมีความน่ากลัวโดยตัวของมันเอง แต่เป็นมนุษย์เราต่างหากที่หยิบจับความหวาดกลัวตามหลักจิตวิทยา, แรงกดดันทางสังคม หรือกระทั่งการตอบสนองความใคร่อย่างผิดศีลธรรม ลงไปอย่างโหดร้ายในสถานที่แห่งนั้น
เพราะไม่ว่าแท้จริงแล้ว เอช. เอช. โฮล์มส์ จะเป็นแค่นักต้มตุ๋นที่มีทักษะเรื่องการขี้โม้โอ้อวด ก่อนสังหารคนเพียงไม่กี่ราย หรือเป็นปีศาจที่ฆ่าคนไปมากกว่า 200 ราย
ตัวตนที่แท้จริงของเขาจะไม่เปลี่ยนความสยองของ Murder Castle สถานที่ซึ่งผู้คนทั่วโลกเชื่อไปแล้วว่าเป็นโรงแรมมรณะที่สังหารผู้คนไปมากมาย และตำนานของมันจะยังดำเนินต่อไปตราบนานเท่านาน ไม่ว่าเรื่องเล่าที่คุณได้ยินนั้นจะเป็นคำโกหกมากแค่ไหนก็ตาม
อ้างอิง
ประวัติ Murder Castle
ประวัติ H.H. Holmes
Did Serial Killer H.H. Holmes Really Build a ‘Murder Castle’?
H.H. Holmes Murder Castle: An Inspiration for American Horror Story Hotel