SLIPKNOT – 9 หน้ากากนรกที่ยืนหยัดอยู่ในวงการมา 27 ปี ที่ดราม่าก็ฆ่าไม่ตาย

โดย
ฟังไปเรื่อย ดูไปเรื่อย ฟังไปเรื่อย ดูไปเรื่อย
เขียนเมื่อ 2 min read
SLIPKNOT – 9 หน้ากากนรกที่ยืนหยัดอยู่ในวงการมา 27 ปี ที่ดราม่าก็ฆ่าไม่ตาย

เมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา Slipknot วงเมทัลรุ่นใหญ่จากไอโอว่า สหรัฐอเมริกา เพิ่งออกอัลบั้มชุดที่ 7 ชื่อ The End, So Far ออกมาให้แฟนเพลงได้ฟังกัน แม้เสียงตอบรับจะแตกเป็นสองฝั่งมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติของการเสพงานศิลปะสักชิ้นที่ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

พอเห็นอัลบั้มชุดที่ 7 ของวง 9 หน้ากากนรก แล้วคิดถึงวันเวลาที่ผ่านมา Slipknot ถือว่าเดินทางมาไกลพอสมควร ถ้านับเป็นอายุคนก็ 27 ปี ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายฤดู รวมถึงดราม่าต่างๆ แต่ถึงอย่างนั้นวงก็ยังรักษาชื่อเสียงและความนิยมมาได้อย่างยาวนาน และยังขึ้นโชว์ตามเทศกาลดนตรีในฐานะวงเฮดไลน์มาตลอด ขณะที่วงเพื่อนร่วมรุ่นที่เติบโตและดังมาในช่วงดนตรีนูเมทัลครองเมือง ทยอยล้มหายตายจากกันไปพอสมควร

อะไรที่ทำให้วงเมทัลหนักกระโหลกอย่าง Slipknot ยังคงยืนหยัดในฐานะวงดนตรีระดับแนวหน้าของโลกได้ไม่เสื่อมคลาย เราจะพาคุณผู้อ่านไปพบคำตอบกัน

เมื่อ 9 หน้ากากนรก ออกอาละวาด

ปี 1999 ช่วงเวลาที่ดนตรีแนว “นูเมทัล” กำลังเบ่งบานครองใจวัยรุ่นทั่วโลก อยู่ๆ ก็มีวงดนตรีวงหนึ่งจาก Des Moines, Iowa นามว่า Slipknot ออกมาทักทายคนฟังด้วยอัลบั้มแรกของพวกเขาที่ใช้ชื่อเดียวกับวง ที่สร้างความแตกต่างจากวงทั่วไปได้ทันที เพราะมีสมาชิกวงถึง 9 คน เยอะจนแบบที่วงร็อกอื่นไม่ทำกัน แถมยังปรากฏกายพร้อมยูนิฟอร์มสีส้ม และสวมใส่หน้ากากสุดสยองปิดบังใบหน้ากันหมด

credit: festicket 

นอกเหนือภาพลักษณ์ที่โดดเด่นกว่าวงอื่น อัลบั้มแรกของ Slipknot ยังมาพร้อมกับดนตรีสไตล์ เอ็กซ์ตรีม นูเมทัล เสียงสำรอกของ คอรีย์ เทย์เลอร์ นักร้องนำที่ดุดันเหลือร้าย, กีต้าร์คู่ที่สาดริฟฟ์ใส่คนฟังอย่างติดหู, กลองกับเพอร์คัสชั่นที่หวดกระหน่ำเป็นปืนกล รวมถึงเนื้อเพลงที่ด่าทอสังคมมนุษย์อันเน่าเฟะ จนเป็นที่ถูกอกถูกใจวัยรุ่นจำนวนมากเช่น (sic), Wait and Bleed, Surfacing, Spit It Out และทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วตั้งแต่ชุดแรก

ยิ่งไปกว่านั้น Slipknot ยังมีลีลาการแสดงสดที่ดุเดือดเลือดพล่าน ไม่ว่าเวทีเล็ก เวทีใหญ่ พวกเขาแปรเปลี่ยนเวทีให้กลายเป็นสนามเด็กเล่นสุดอลหม่าน วิ่งเล่นและขย่มเครื่องดนตรีกันอย่างเมามัน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้วงที่มีฉายาว่า “9 หน้ากากนรก” ผงาดขึ้นมายืนในตำแหน่งเดียวกับเจ้าพ่อนูเมทัลแห่งยุคนั้นอย่าง KORN และเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง Deftones, Limp Bizkit ได้อย่างสง่างาม

จากวันนั้นถึงวันนี้ Slipknot ออกอัลบั้มมาแล้ว 7 ชุด ไล่ตั้งแต่ Slipknot (1999) Iowa (2001), Vol. 3: The Subliminal Verses (2004), All Hope Is Gone (2008), .5: The Gray Chapter (2014), We Are Not Your Kind (2019) และล่าสุด The End, So Far ในปี 2022 ซึ่งทุกอัลบั้มล้วนประสบความสำเร็จทั้งแง่ยอดขาย และมีเพลงฮิตที่สาวกแฟนเพลงผู้เรียกตัวเองว่า “Maggots” ร้องตามได้มาตลอด

แต่ก็ใช่ว่า Slipknot จะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้แบบไร้ขวากหนามอุปสรรคใดๆ เพราะเกือบ 30 ปีที่อยู่ทำวงกันมา พวกเขาเผชิญกับดราม่ามากมาย ซึ่งหลายครั้งเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ภายในวงที่ไม่ลงรอยกันจนหวิดจะแตกหักยุบวงไปก็หลายที รวมถึงการสูญเสียเพื่อนคนสำคัญ ซึ่งเอาจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นได้กับทุกวงดนตรีบนโลกนี้

แต่ก็ไม่ใช่กับทุกวงที่ผ่านมันมาได้..

สูญเสียมือเบส และเพื่อนรักเพราะ “ยา”

ช่วงเวลาที่ Slipknot ออกอัลบั้มมา 4 ชุด พวกเขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของวงการดนตรีด้วยสมาชิกไลน์อัพคลาสสิคที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ชุดแรก แม้จะมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งภายในกันบ้างแต่ก็เคลียร์กันได้เสมอ กระทั่งวันที่ 24 พฤษภาคม 2010 พวกเขาก็เหลือสมาชิกเพียงแค่ 8 คนเมื่อ พอล เกรย์ มือเบสที่ร่วมหัวจมท้ายด้วยกันมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม เสียชีวิตที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน Iowa บ้านเกิด จากการใช้ยา Xanax แบบเกินขนาด

credit: tonedeaf.thebrag.com

พอล เกรย์ ได้รับการยอมรับในหมู่เพื่อนฝูงว่าเป็นนักดนตรีที่ “นิสัยดีคนหนึ่ง” เป็นมิตร และเป็นตัวกลางที่คอยเชื่อมความสัมพันธ์กับทุกคนใน Slipknot อยู่เสมอเวลาที่มีเพื่อนมีปัญหาขัดแย้งกัน วันที่เขาเสียชีวิต สมาชิกทุกคนของ Slipknot ก็ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวแสดงความเสียใจ แม้ช่วงหนึ่งจะมีดราม่าจาก เบรนนา ภรรยาของ พอล เกรย์ ที่เคยเปิดเผยว่ามีสมาชิกวงคนหนึ่ง “ไม่มีน้ำใจ” รุดไปช่วยเพื่อนที่กำลังช็อกจากการใช้ยาทั้งที่ตอนนั้นก็อยู่ใกล้กัน แต่สุดท้ายทั้งสองฝั่งก็พูดคุย ปรับความเข้าใจ ก่อนร่วมกันจัดพิธีศพให้กับเพื่อนรักและอดีตสามีผู้จากไป

การเสียชีวิตของ พอล เกรย์ จบลงที่ศาลตัดสินให้เภสัชกรที่จ่ายยา Xanax ให้กับเขา ถูกดำเนินคดีจากการจ่ายยาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์ประจำตัวของเขา ก่อนที่ Slipknot ต้องหามือเบสคนใหม่เพื่อมาทำอัลบั้มชุด 5: The Gray Chapter ต่อไป ซึ่งพวกเขาก็ได้ตัว อเลสซานโดร เวนตูเรลล่า อดีตมือกีต้าร์ของวงเฮฟวี่เมทัล Cry for Silence มายืนกระตุกเบสแทน พอล เกรย์

แตกหักกับมือกลองคนสำคัญ และทิ้งเพื่อนเพราะ “เงิน”

ปลายปี 2013 Slipknot ประกาศข่าวที่เป็นเรื่องฮือฮาในวงการดนตรีร็อกเมื่อพวกเขาตัดสินใจแยกทางกับ โจอี้ จอร์ดิสัน มือกลองกระเดื่องปีศาจ และผู้ร่วมก่อตั้งวงที่เป็นไอดอลของมือกลองสายเมทัลทั่วโลก ก่อนจะเอา เจย์ ไวน์เบิร์ก ลูกชายของ แม็กซ์ ไวน์เบิร์ก มือกลองรุ่นเก๋าของ บรูซ สปริงสทีน “เดอะ บอส” ของฝั่งอเมริกันร็อกมาแทนที่เขาเพื่อทำอัลบั้ม 5: The Gray Chapter แม้ฝีไม้ลายมือจะเก่งกาจไม่แพ้กัน แต่เหล่า “Maggots” ก็ไม่พอใจที่วงรักของพวกเขา แยกทางกับมือกลองที่เป็นคนสำคัญของวงด้วยเหตุผลที่ไม่ชัดเจน

credit: loudwire.com

คอรีย์ เทย์เลอร์ นักร้องนำที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการพบสื่อ บอกว่าการแยกทางกับ โจอี้ เกิดขึ้นจากเหตุผลส่วนตัวที่วงไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ยังหยอดว่าวงยินดีชวน โจอี้ กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง ส่วนฝั่งของ โจอี้ ก็ตอบกลับว่าเขาไม่ได้ออกจากวง และยังรอโอกาสที่จะกลับไปทวงตำแหน่งคืน ซึ่งภายหลังก็มีการเปิดเผยว่า โจอี้ มีอาการป่วยเป็นโรคไขสันหลังอักเสบ ซึ่งส่งผลให้เขาไม่สามารถตีกลองเพลงของ Slipknot ได้รวดเร็วและรุนแรงเท่าเดิม

ดราม่าบังเกิดตรงที่แฟนเพลงหลายคนมองว่าแทนที่ คอรีย์ และเพื่อนร่วมวง Slipknot จะรอให้เพื่อนหายดีก่อนแล้วค่อยกลับมาทำวงด้วยกัน แต่พวกเขากลับทอดทิ้งมือกลองที่เป็นคนก่อตั้งวงเพราะว่าไม่อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ ทำให้ Slipknot มีภาพลักษณ์ด้านลบว่าเป็นพวก “ทิ้งเพื่อนให้ลำบาก” และถึงแม้ว่าช่วงหลัง โจอี้ จะมีสุขภาพดีขึ้นจนพอจะตีกลองได้ เขาก็ไม่ได้กลับมาอยู่กับ Slipknot อีกต่อไป ออกไปทำวงใหม่อย่าง Vimic หรือ Sinsaenum ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าเดิม แถมยังมีเสียงร่ำลือจากผู้ชมที่ไปดู โจอี้ ตีกลองบนเวทีว่าหมดสภาพไปแล้ว

แต่ไม่ว่าเบื้องหลังการเลิกราที่แท้จริงระหว่าง โจอี้ กับ Slipknot เป็นอย่างไร มีอะไรที่มากกว่าเรื่องอาการบาดเจ็บไหม มันก็กลายเป็นปริศนาที่คนนอกไม่มีวันได้รู้ความจริงเมื่อ โจอี้ เสียชีวิตในวันที่ 26 กรกฏาคม 2021 หลังต่อสู้กับโรคไขสันหลังอักเสบอย่างทุกข์ทรมานมานาน สมาชิก Slipknot ได้ร่วมแสดงความอาลัยให้กับมือกลองหน้ากากคาบูกิอันเป็นเอกลักษณ์คนนี้ และลงข้อความระลึกถึง โจอี้ เสมอในวันเกิดและวันเสียชีวิตของเขาในทุกปี

credit: loudwire.com

เรื่องของ โจอี้ จอร์ดิสัน ทำให้ Slipknot ถูกมองว่าเป็นวงดนตรีที่ทิ้งเพื่อน สนใจแต่เรื่องธุรกิจมากกว่ามิตรภาพ แล้วพวกเขาก็ถูกตอกย้ำในภาพลบนั้นอีกครั้งในปี 2019 เมื่อวงได้แยกทางกับ คริส เฟห์น มือเพอร์คัสชั่นผู้สวมหน้ากากจมูกยาวขวัญใจแฟนๆ ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่อัลบั้มแรกไปอีกคน โดยจุดเริ่มต้นมาจาก คริส ได้ว่าจ้างทนายมาฟ้องวงของเขาเอง หลังพบว่า คอรีย์ เทย์เลอร์ นักร้อง กับ ชอว์น คราฮาน มือเพอร์คัสชั่นผู้ก่อตั้งวงอีกคน ร่วมกันเปิดบริษัทใหม่ที่ใช้ดูแลบัญชีรายได้ของวงในรัฐอื่นๆ โดยไม่บอกกล่าว และไม่จ่ายส่วนแบ่งให้กับเขาอย่างเท่าเทียมเหมือนเดิม

หลังจากนั้นไม่กี่วัน Slipknot ได้ประกาศว่า คริส เฟห์น ไม่ใช่สมาชิกวงอีกต่อไป โดยให้เหตุผลว่า คริส มีความคิดเห็นที่แตกต่างและไม่ทุ่มเททำงานให้กับวงเหมือนเดิม ซ้ำร้ายกว่านั้น ตัวแทนของวงได้ออกมาแจ้งอีกว่า คริส มีสถานะเป็นเพียง “พนักงานหรือลูกจ้าง” ซึ่งประโยคนี้ทำเอา คริส และแฟนเพลง Slipknot เดือดดาลกันพอสมควร ประมาณว่ายอมทิ้งเพื่อนที่ร่วมหัวจมท้ายด้วยกันมาเพราะเงิน ซึ่งเรื่องราวการฟ้องร้องระหว่างตัวคริส กับ Slipknot ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปจนถึงปัจจุบัน ส่วนวงก็ได้ ไมเคิล ฟาร์ฟ เพื่อนนักดนตรีที่รู้จักกัน มาหวดเพอร์คัสชั่นแทนในเวลาต่อมา

ดราม่าแค่ไหน Slipknot ก็ยังไม่ตาย

ถึงจะถูกดราม่าโจมตีหนักจากการแยกทางกับ โจอี้ จอร์ดิสัน และ คริส เฟห์น พลางถูกตราหน้าว่าเป็นวงทิ้งเพื่อน แต่กลายเป็นว่า Slipknot กลับรอดชีวิตจากดราม่าเหล่านั้นมาได้อย่างเหลือเชื่อ ชื่อเสียงไม่ลดลง แถมยังรักษาสถานะวงดนตรีระดับแนวหน้าไว้ได้อีกต่างหาก ว่าแต่เพราะอะไรกัน..

credit: metalinjection.net

บรรดาสื่อในวงการดนตรีต่างประเทศ พากันวิเคราะห์ว่าสิ่งที่ทำให้ Slipknot ยังรักษาชื่อเสียงกับความนิยมไว้ได้โดยไม่ถูกดราม่าเล่นงานจนเสียหลัก เพราะเวลามีดราม่าใดๆ วงก็เลือกที่จะเงียบกับข่าวคราวแง่ลบที่เกิดขึ้นทั้งหมด เอาเวลาไปโฟกัสกับการทำผลงานเพลงและแสดงสดอย่างเดียว สังเกตุได้ว่าดราม่าของ โจอี้ จอร์ดิสัน กับ คริส เฟห์น เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่วงกำลังทำอัลบั้มใหม่พอดี พอมีข่าวที่วงแยกทางกับสองคนนี้ไป แม้จะมีเสียงด่าทอจากแฟนคลับแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สนใจ ชี้แจงเท่าที่จำเป็น แล้วกลับไปทำงานต่อโดยปล่อยให้ตัวแทนของวงรับหน้าที่จัดการ

ตอนที่มีดราม่าเรื่องที่วงแจ้งสถานะของ คริส เฟห์น ว่าเป็นแค่ลูกจ้าง แฟนเพลงโมโหกันมาก แต่วงก็แก้เกมด้วยการปล่อยซิงเกิล Unsainted จากอัลบั้ม We Are Not Your Kind ในปี 2019 พร้อมกับเปิดตัวมือเพอร์คัสชั่นคนใหม่ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามในตอนนั้น กลายเป็นว่าแฟนเพลงกลับเปลี่ยนใจหันไปฟังเพลงของพวกเขา พลางตามขุดหาเบาะแสว่าไอ้มือเพอร์คัสชั่นคนใหม่นี้มันเป็นใครกัน ลืมเรื่องของ คริส เฟห์น กันไปชั่วระยะหนึ่งเลยทีเดียว

การตลาดแจ่ม รู้จักเล่นกับโซเชียลมีเดีย

Slipknot ถูกสื่อมวลชนสายดนตรียกย่องว่าเป็นวงที่เล่นกับ โซเชียล มีเดีย ได้เก่งมาก รู้จักใช้ช่องทางออนไลน์ของตัวเองที่มีทั้ง Facebook, Instagram, Twitter โปรโมตกิจกรรมของวงทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายวงดนตรียุค 90 ที่มีแนวคิดแบบคนสมัยเก่าที่เน้นทำเพลงกับเล่นคอนเสิร์ตอย่างเดียว ไม่ค่อยให้ความสำคัญสักเท่าไหร่ แต่ Slipknot ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก พวกเขาใช้ โซเชียล มีเดีย ที่มีอยู่ในมือ สื่อสารกับแฟนเพลงแบบไม่มีขาด จนได้แฟนเพลงรุ่นใหม่ที่เติบโตในยุคโซเชียลฯ ครองโลกมาได้มากมาย

ยกตัวอย่างเช่นตอนที่วงออกอัลบั้ม .5: The Gray Chapter ปี 2014 ตอนนั้นวงรับสมาชิกใหม่อย่าง อเลสซานโดร เวนตูเรลล่า กับ เจย์ ไวน์เบิร์ก มาใส่หน้ากากปิดบังตัวตนแล้วเล่นตำแหน่งเบสและกลอง แต่ยังไม่มีการเฉลยว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน ให้แฟนๆ ไปสืบกันเอาเอง แต่วันหนึ่งก็มีภาพหลุดรายชื่อสมาชิกวงที่ไปทัวร์คอนเสิร์ตออกมาบนโลกออนไลน์ ปรากฏว่าเป็นชื่อของ อเลสซานโดร เวนตูเรลล่า กับ เจย์ ไวน์เบิร์ก ถูกเผงอย่างที่แฟนๆ คาดเดา

credit: nme.com

หลังมีภาพหลุดออกไป คอรีย์ เทย์เลอร์ นักร้องนำของวงก็ออกมาพูดโวยวายทำนองว่า “ใครมันเป็นคนโพสต์รายชื่อสมาชิกวงออกไปวะ อย่าให้รู้นะ” แต่แฟนเพลงก็เชื่อว่า คอรีย์ โวยวายไปแบบนั้นแหละเพราะเชื่อกันว่าที่มีภาพหลุดชื่อของสองสมาชิกใหม่ออกมา ก็เพราะว่ามีคนในวงจงใจปล่อยให้หลุดออกมานั่นแหละ

หรือแม้แต่ Pornhub เว็บไซต์รวบรวมภาพยนตร์สุดสยิวของผู้ใหญ่ ครั้งหนึ่ง Slipknot ก็เคยแวบไปเปิด Channel แบบ Official ของตัวเองในนั้น แล้วอัพโหลดมิวสิควีดีโอของวงลงไปจนกลายเป็นข่าวฮือฮาอยู่ระยะหนึ่ง แถมยังถูกแฟน Pornhub พากันไปคอมเมนต์แซวว่าเปิดเพลงของ Slipknot ฟังใน Pornhub แล้ว พวกเขาถึงจุดสุดยอดได้สะใจกว่าดูหนังโป๊ในเว็บอีก (ปัจจุบันช่องของวงใน Pornhub ปิดไปแล้ว)

นอกจากเล่นกับโซเชียลฯ เก่งแล้ว Slipknot ก็เป็นวงที่มีหัวการค้าอยู่พอสมควร นอกจากอัลบั้มเพลงและของที่ระลึกเบสิคทั่วไปอย่าง เสื้อ กางเกง เข็มกลัด แก้วน้ำ ที่ทำออกมาขายแล้ว วงยังตีตลาดกลุ่มคนชอบดื่มด้วยการผลิตวิสกี้ยี่ห้อ Slipknot No.9 ออกมาให้สายนักดื่มได้ทดลองซื้อหามาดื่มกัน แถมยังทำเป็นลิมิเต็ดอิดิชั่น ขายในจำนวนจำกัด และได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากขาดื่มว่าทำออกมาได้เข้มข้นโดนใจ

credit: spotify.com

ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยความที่วงมีสมาชิกถึง 9 คน อัลบั้มล่าสุด The End, So Far พวกเขาก็ปิ๊งไอเดียออกอัลบั้มที่เป็นรูปปกของสมาชิกแต่ละคน 9 คน 9 แบบ ออกมายั่วให้แฟนเดนตายซื้อไปสะสมกัน ซึ่งถ้าจะสะสมให้ครบ 9 เวอร์ชั่น แฟนเพลงก็ต้องควักเงินถึง 134.82 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 5,000 บาท) เพื่อเก็บให้ครบกันเลยทีเดียว ส่วนแฟนเพลงทั่วไปที่ไม่รู้สึกอะไรกับปก 9 เวอร์ชั่นนี้ ก็คงซื้อแค่ชุดเดียวพอแล้ว ประหยัดเงินกันไป

เท่านั้นไม่พอ อัลบั้ม The End, So Far กลายเป็นไวรัลบนโลกออนไลน์เมื่อมีแฟนเพลงที่ซื้อแผ่นไวนิลชุดนี้ไป แล้วพบว่ามีการพิมพ์ชื่ออัลบั้มผิดบนหน้าปก ซึ่งปกไวนิลสกรีนว่า The End, For Now (ชื่ออัลบั้มเดิมก่อนเปลี่ยนใหม่) แต่ทางผู้ผลิตได้ทำการเอาสติ๊กเกอร์ที่พิมพ์ชื่ออัลบั้มที่ถูกต้อง The End, So Far แปะทับลงไปแทนเป็นการแก้ไข ซึ่งพอแฟนเพลงคนนี้เอาไปโพสต์ในเว็บบอร์ดของ Reddit ก็ทำให้แฟนเพลงที่สั่งไวนิลแผ่นนี้ไปแล้วรีบไปเช็กกันยกใหญ่

ตัวแทนของ Slipknot ออกมาแจ้งว่าพวกเขารับทราบข้อผิดพลาดนี้และเปิดโอกาสให้แฟนเพลงสามารถนำแผ่นที่พิมพ์ผิดมาเปลี่ยนได้ แต่ที่ตลกคือแฟนเพลงส่วนใหญ่ที่ได้แผ่นพิมพ์ผิด เลือกที่จะไม่คืน และคิดว่าจะเก็บไว้ฟัง หรือรอขายต่อในอนาคตเพราะเชื่อว่านี่จะเป็นแผ่นหายากที่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งหลังจากนั้นก็กลายเป็นว่าแฟนเพลงกลับตามล่าหาแผ่นที่พิมพ์ชื่ออัลบั้มผิดกันเสียอย่างนั้นแทน

นักร้องปากแจ๋วที่ชาวร็อกชื่นชอบ

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ Slipknot เป็นที่พูดถึงในวงการเพลงยุคปัจจุบันคือ วาทะศิลป์ของ คอรีย์ เทย์เลอร์ นักร้องนำของวง เขาเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักร้องจอมสำรอกบนเวที และเป็นตัวแทนวงคอยให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ อยู่เป็นประจำ ซึ่งทุกครั้งที่สัมภาษณ์ ด้วยบุคลิกสไตล์จิ๊กโก๋ พูดตรง พูดแรง แจกฟักทุกนาที แต่จริงใจ ทำให้ทุกครั้งที่เขาเปิดปากออกสื่อ มักมีคำพูดอันเฉียบคม ข้อคิดเจ๋งๆ ให้คนฟังรู้สึกประทับใจอยู่เสมอ

credit: nme.com

แต่สิ่งที่ทำให้ คอรีย์ เป็นที่รักของชาวร็อกอย่างมากในยุคโซเชียล มีเดีย คือการตอบโต้กับนักดนตรีรุ่นน้องที่ดูหมิ่นในสิ่งที่ตัวเขาและวง Slipknot ทำ ด้วยคำพูดคำจาที่เผ็ดร้อนสะใจแฟนๆ หรือพูดแบบเพื่อนกันก็คือ “ปากแซ่บ ปากแจ๋ว”

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 อดัม เลอวีน นักร้องนำของ Maroon 5 วงป๊อปชื่อดัง ให้สัมภาษณ์กับ Variety โดยบอกว่าดนตรีร็อก ไม่ได้รับความนิยมเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่เป็นดนตรีฮิปฮอปที่ได้รับความนิยมและมีอะไรน่าตื่นเต้นให้ติดตามมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อชาวร็อกเข้าเส้นเลือดอย่าง คอรีย์ เทย์เลอร์ ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโมโหจนต้องโต้ตอบกลับไปอย่างดุเดือดว่า

“แค่มึงมีเพลงฮิตแบบ Moves Like Jagger ไม่ได้หมายความว่ามึงจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับชาวร็อกอย่าง แจ็กเกอร์ (มิค แจ็กเกอร์ นักร้องนำของ The Rolling Stones) นะโว้ย ฝากบอกไอ้งั่งนั่นให้กลับไปอยู่ในรายการ The Voice เถอะ”

ที่ตลกก็คือหลังจากนั้นหลายปี อดัม เลอวีน ได้ตกเป็นข่าวฉาวว่านอกใจภรรยา เบฮาติ ไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นมากมายจนทำให้แฟนเพลง Maroon 5 รู้สึกผิดหวัง พอมีชาวร็อกเอาเรื่องนี้ไปถาม คอรีย์ เทย์เลอร์ ว่ารู้สึกยังไงกับข่าวนี้ นักร้องแห่ง Slipknot ก็ถึงกับโพสต์วีดีโอที่เขาขำก๊ากกับเรื่องของอีกฝ่ายออกมาอย่างสะใจโก๋

credit: digital music news

ต่อมาในปี 2021 คอรีย์ ก็เปิดศึกกับ แมชชีน กัน เคลลี่ หรือ MGK นักร้องฮิปฮอปชื่อดัง ที่ผันตัวมาทำเพลงป๊อปพังค์จนประสบความสำเร็จในอัลบั้ม Tickets To My Downfall เรื่องมีอยู่ว่า MGK ได้เคยชักชวน คอรีย์ มาทำเพลงใหม่ด้วยกัน แต่ด้วยความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน ทำให้ต่างฝ่ายต่างล้มแผนงานแล้วแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง แต่ดูเหมือน MGK จะรู้สึกขุ่นเคืองนักร้องรุ่นพี่อยู่เล็กๆ

เดือนกุมภาพันธ์ปี 2021 คอรีย์ ให้สัมภาษณ์สื่อโดยประโยคหนึ่งระบุว่า

“ผมเกลียดเพลงร็อกในยุคนี้เป็นส่วนใหญ่ ผมเกลียดศิลปินที่ล้มเหลวกับดนตรีแนวหนึ่งแล้วเปลี่ยนมาทำดนตรีร็อก ซึ่งผมคิดว่าเขาคงรู้ว่าตัวเองเป็นใคร”

แม้การสัมภาษณ์นี้ คอรีย์ จะไม่ได้พูดชื่อออกมา แต่หลายคนก็เชื่อว่าเขากำลังด่า MGK แบบอ้อมๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ MGK เกิดความร้อนตัวแล้วด่า คอรีย์ บนเวทีคอนเสิร์ตกลับว่า

“รู้ไหมว่าผมมีความสุขกับอะไรมากที่สุด คือการไม่เป็นคนอายุ 50 กว่าแล้วสวมหน้ากากประหลาดๆ ขึ้นไปบนเวทียังไงล่ะ”

แน่นอนว่าคำพูดของ MGK นั้นจู่โจมถึง คอรีย์ อย่างแน่นอน โดยมีเรื่องความไม่พอใจส่วนตัวที่โดนนักร้องรุ่นพี่ปฏิเสธร่วมงานในอดีตมาผสมด้วย แต่รีแอ็คชั่นก็คือ MGK ถูกแฟนเพลงร็อกด่าทอและโจมตีอย่างหนักหน่วงทั้งตามเวทีคอนเสิร์ต และบนโซเชียลฯ ซึ่งเดิมทีตัวของ MGK ก็เป็นศิลปินปากแจ๋วอยู่แล้ว บวกกับโดนหมั่นไส้เยอะจากการที่หันมาทำเพลงร็อกแล้วดัง ทำให้ชาวร็อกสายทรูรู้สึกไม่พอใจ ออกมาผสมโรงด่า MGK กันอย่างมากมาย

ภายหลัง MGK ได้เปิดใจผ่านสารคดี Life in Pink ว่าเขารู้สึกผิดที่ไปต่อว่า คอรีย์ แบบนั้น และหากย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากจะพูดคุยและขอเคลียร์กับอีกฝ่ายดีๆ ซึ่งจุดนี้ก็มีหลายคนเห็นใจและมองว่าแท้จริงแล้ว คอรีย์ สมควรถูกด่ามากกว่า เพราะเป็นคนที่เริ่มก่อนแท้ๆ แต่พอ MGK ตอบโต้บ้างกลับโดนแรงกระแทกกลับมาแทน ส่วนอีกคนไม่โดนอะไรเลยลอยตัวแบบสบายๆ

ถึงจะเป็นเรื่องปกติที่คนในวงการดนตรีมักออกมาโต้เถียงกัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นข้างต้นได้ช่วยทำให้ คอรีย์ เทย์เลอร์ และวง Slipknot ปรากฏชื่ออยู่บนสื่อกระแสหลัก ได้รับความสนใจจากสังคมอยู่เสมอ ถึงขั้นรอติดตามว่าเขาจะมีวาทะมันๆ อะไรออกมาอีกบ้าง

ปัจจุบันและอนาคตของ Slipknot

ปัจจุบัน ชื่อของ Slipknot ก็ยังโลดแล่นอยู่ในวงการดนตรีโลกระดับแนวหน้าเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเปลี่ยนสมาชิกวงหรือมีดราม่าใดๆ วงก็มีแนวทางการรับมือตามแบบฉบับของพวกเขา ขณะเดียวกัน ก็ยังคงมุ่งมั่นทำเพลงในแนวทางที่เชื่อมั่น โดยไม่ผูกติดอยู่กับดนตรีนูเมทัลในอดีต ซึ่งเพลงของ Slipknot ยุคนี้ก็มีทั้งเพลงร็อก ฮาร์ดคอร์ อัลเทอร์เนทีฟ แอมเบียนต์ อิเล็กโทรนิก ยันอคูสติกร็อก ผสมกันไป ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ Slipknot มีความหลากหลายในผลงาน และมีชีวิตอยู่ร่วมกับดนตรีแนวอื่นได้อย่างไม่เคอะเขิน ผิดกับวงนูเมทัลร่วมยุค 2000 ที่ล้มหายตายจากไปมากมายเพราะไม่รู้จักปรับตัวเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับกระแสดนตรีที่เปลี่ยนไปตามวันเวลา

อัลบั้มชุดที่ 7 ของวงที่ชื่อ The End, So Far นอกจากเพลงร็อกที่ดุดันทั้ง 12 เพลง ก็มีความหมายแอบแฝงน่าสนใจ อันหมายถึงการที่วงกำลังปิดฉากบางสิ่งบางอย่างที่ทำอยู่ เพื่อก้าวไปสู่การเดินทางครั้งใหม่ ซึ่งแฟนเพลงก็ตีความว่ามันหมายถึงการที่ Slipknot ได้ออกจากค่าย Roadrunner Records ที่ดูแลพวกเขามานาน 27 ปี เพื่อไปทำธุรกิจเพลงในนามของวงอย่างเต็มรูปแบบ อาจจะไปเปิดค่ายเพลงของตัวเอง เพื่อดูแลเรื่องลิขสิทธิ์และผลงานของวงแบบเต็มตัวก็ได้

credit: spotify.com

แม้ช่วงหลังจะถูกแฟนเพลงวิจารณ์กันบ่อยว่าเพลงของ Slipknot ยุคปัจจุบันไม่ได้หนักหน่วงรุนแรงเหมือน 2 อัลบั้มแรกที่เป็นตำนานอย่าง Slipknot กับ Iowa ส่วน The End, So Far ก็มีเพลงแปลกๆ แอมเบียนต์ อิเล็กโทรนิกอย่างซิงเกิล Adderall ที่ทำเอาหลายคนเหวอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขายังคงรักษาโทนเพลงและมาตรฐานไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ทุกเพลงที่ออกมาไม่ได้สักแต่ว่าจะสาดริฟฟ์หรือหวดกลองหนักๆ เอาถึงตาย แต่ยังมีเมโลดี้ทางป๊อปที่ฟังแล้วติดหูผสมอยู่ด้วย และฟังแล้วยังชวนโยกหัวเหมือนเดิม

ด้วยมาตรฐานการทำเพลงที่ดี และการรับมือกับดราม่าที่ถาโถมเข้ามาได้อย่างไม่มีหวั่น เชื่อได้เลยว่าเราคงจะยังเห็น Slipknot ออกอาละวาดบนยุทธจักรดนตรีโลกได้อย่างยาวนานอีกหลาย 10 ปี ตามรอยวงร็อกรุ่นปู่อย่าง The Rolling Stones, AC/DC และ Iron Maiden หรือจนกว่าจะมีใครสักคนพ่ายแพ้ต่อสังขารไป

More from us

เพจดนตรีที่ทำแค่ตอนว่าง ไม่ว่างก็ไม่อัพฯ
รักหมารักแมวรักการเล่นเกม!