
และล่าสุดนี้ ทางสหภาพยุโรป หรือ EU ได้มีการออกกฎหมาย “สิทธิในการซ่อม” (Right to Repair) มาตราใหม่ ให้มือถือทุกยี่ห้อที่วางขายในยุโรป ต้องออกแบบให้สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ด้วยตัวเอง เป็นการตอกย้ำแนวคิดการสนับสนุน “สิทธิในการซ่อม” (Right to Repair) เข้าไป
ในครั้งนี้เรามาดูกันแบบย่อ ๆ ถึงเรื่องราวของ “สิทธิในการซ่อม” (Right to Repair) กฎหมายว่าด้วยทางเลือกในการจัดการกับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ว่าจะไปอยู่ที่ไหนถ้ามันเกิดงอแงขึ้นมา
“สิทธิในการซ่อม” คืออะไร?

“สิทธิในการซ่อม” (Right to Repair) มีเป้าหมายหลัก ๆ อยู่ 2 ข้อคือ… ผู้ใช้มีสิทธิ์ที่จะซ่อมของทุกอย่างที่เป็นเจ้าของ และยุติการ “ผูกขาด” ของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้านั้น ๆ ที่มักเรียกเก็บค่าอะไหล่และบริการที่ไม่สมเหตุสมผล และสูงกว่าที่ควรจะเป็น เหมือนเป็นการบังคับให้ซื้อสินค้ารุ่นใหม่ทางอ้อม
โดยครั้งล่าสุดที่กลายมาเป็นวาระประจำภูมิภาคเลยก็คือ การบังคับใช้กฎหมาย “สิทธิในการซ่อม” ของสหภาพยุโรปในปี 2021 โดยมีการจำกัดความเอาไว้ 3 ข้อด้วยกัน
- สิทธิในการซ่อมในระยะเวลาประกัน - สิทธิในการซ่อมสินค้าที่บกพร่องโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ถ้าสินค้ายังอยู่ในระยะเวลาที่รับประกัน ถ้าสาเหตุมาจากการผลิตเอง
- สิทธิในการซ่อมหลังหมดประกัน - หลังสินค้าหมดประกัน ผู้ผลิตยังคงต้องรับซ่อมแซมสินค้าดังกล่าว เพื่อป้องกันเรื่องค่าซ่อมที่สูงเกินไป, อะไหล่ไม่มี, ไม่มีศูนย์ซ่อม หรือสินค้าออกแบบมาให้ซ่อมไม่ได้
- สิทธิในการซ่อมด้วยตัวเอง - ลูกค้าสามารถซ่อมแซมได้เองโดยไม่ต้องพึ่งช่างหรือตัวแทน ซึ่งบริษัทต้องให้ข้อมูลทางเทคนิค เช่นคู่มือ และการจัดจำหน่ายอะไหล่
ถ้าให้เว่ากันซื่อ ๆ “สิทธิในการซ่อม” ไม่ใช่ของใหม่ แต่มันถูกลืมมาโดยตลอด และถูกชักชวนแบบอ้อม ๆ ให้ซื้อสินค้าในรูปแบบ “ใช้แล้วทิ้ง” ในฐานะทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าการซ่อมของเดิมให้กลับมาทำงานได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลในเรื่องเงิน, ระยะเวลา หรืออะไหล่คงเหลือของโมเดลนั้น ๆ
เกิดอะไรขึ้น? ก่อนมีการพูดถึง “สิทธิในการซ่อม”

ช่วงระหว่างปี 1910-1920 Ford ได้พยายามจัดตั้งตัวแทนจำหน่ายและเครือข่ายบริการ ที่ได้รับการรับรอง เพื่อเพิ่มยอดขายอะไหล่ที่ผลิตจากแบรนด์โดยตรง แทนที่จะเข็นไปหาอู่ซ่อมรถอิสระและอะไหล่จากผู้ผลิตเจ้าอื่น พร้อมอัตราค่าธรรมเนียมงานซ่อมเล็กใหญ่เท่ากันหมด แต่ถ้ารวม ๆ ราคาก็จัดว่าแรงกว่าอู่นอกเครือข่าย พร้อมกับการอัปเดตโมเดลรถใหม่บ่อย ๆ ที่ทำให้ตามอู่ไม่กล้าที่จะสั่งอะไหล่มาเก็บไว้… และด้วยการออกรถรุ่นใหม่ ๆ บ่อยนี่แหละ เลยเหมือนเป็นการบังคับกลาย ๆ ว่า “ซ่อมรถเก่าไม่ตอบโจทย์ใช่มะ? ซื้อรถใหม่กูสิ… อะไหล่มีนะ” ส่งผลให้การบำรุงรักษาเริ่มมีความสำคัญน้อยลง เหมือนกับสิทธิ์ทางกฎหมายในการซ่อมแซม โดยเฉพาะในช่วงหลังภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ที่ลูกค้าเลือกที่จะซ่อมสิ่งต่าง ๆ เอง เพื่อลดค่าใช้จ่าย และมันก็ลามไปอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็เริ่มเอาแนวคิดของ General Mortors มาใช้ ในปี 1956

ซึ่งนี่ยังไม่นับเรื่องของเทคโนโลยีในตัวสินค้าที่ถูกออกแบบมาให้ตกรุ่นไว เพื่อบีบบังคับให้ผู้ใช้คิดที่จะซื้อสินค้ารุ่นใหม่อีกด้วย
การมาของนโยบาย “สิทธิในการซ่อม” ของยุโรป

อย่างเคสของคนใช้มือถือหรือ Notebook หลายราย ที่มีปัญหาจอเสีย ซึ่งเกิดมาจากสายแพที่ขาด แต่พอเข้าศูนย์กลับต้องเปลี่ยนจอทั้งชุด ทั้งที่แค่เปลี่ยนสายแพก็จบแล้ว เช่นกรณีของ iPhone ที่ต้องเปลี่ยนทั้งกระบิ ที่อเมริกาก็ตีไปหลักหมื่นบาทแล้ว ทั้งที่แค่สายแพสำหรับเปลี่ยน มีราคาน้อยมาก หรือประสบการณ์ตรงของผู้เขียน ที่พัดลม Notebook มีปัญหา ศูนย์บริการอยู่ไกล แถมประกันเครื่องก็หมดอีก จากการที่ได้คุยกับพี่ที่เคยทำงานกับบริษัทคอมพิวเตอร์และรู้วิธีซ่อม เลยทำให้พบว่าอะไหล่พัดลมตีราคาได้ข้างละไม่เกิน 500 บาท เท่านั้น (แล้วแต่รุ่น) ในขณะที่ยกเครื่องไปซ่อมศูนย์ ต้องเปลี่ยนชุดทำความร้อนทั้งชุด แถมต้องรอคิวอย่างเร็วก็เป็นสัปดาห์ สำหรับคนที่ไม่มีรถแบบผู้เขียน ถ้าศูนย์อยู่ใกล้ย่านสำคัญในเมืองหรือแนวรถไฟฟ้ายังพอทนได้ แต่ถ้าอยู่นอกเมืองอย่างสมุทรปราการนี่คือเครียดแน่นอน ไกลรถไฟฟ้า แถมค่ารถไปไม่ใช่น้อย ๆ เว้นแต่จะเป็นคนพื้นที่ ที่รู้สายรถเมล์ดี

แต่ก็ใช่ว่ามันจะดีแบบ 100% เพราะการที่บริษัทให้คนอื่นที่ไม่ใช่ช่างของศูนย์แกะเครื่องซ่อมกันเอง มันไม่ได้รับประกันว่าคนซ่อมจะไม่ทำพลาดจนเกิดปัญหาใหม่หรือกลับมาแก้ไขไม่ได้อีกเลย เพราะถ้าลูกค้าหรือช่างนอกแก้ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องเป็นหน้าที่ช่างศูนย์มาเก็บกวาดปัญหาที่หนักกว่าเดิม ถ้าเครื่องหมดประกันไป ค่าใช้จ่ายนี่ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
อย่างไรก็ดี เมื่อมองในระยะยาว เมื่อเราคุ้นเคยกับแนวคิดการซ่อม และบรรดาเทคนิคต่าง ๆ เป็นที่รู้โดยทั่วไปมากขึ้น ก็อาจจะทำให้ข้อผิดพลาดส่วนนี้น้อยลง
ผู้ผลิตปรับตัวอย่างไร เพื่อตอบรับ “สิทธิในการซ่อม”


เช่นเดียวกับพี่ใหญ่วงการคอมพิวเตอร์อย่าง Microsoft ก็นำอะไหล่ของเครื่อง Surface และจอย Xbox Controller มาวางขายผ่าน Microsoft Store ให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนเองได้ ฝั่งของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อย่าง Logitech ก็เอาด้วย โดยร่วมมือกับ iFixit ขายชิ้นส่วนอะไหล่พร้อมแจกคู่มือการซ่อม
นอกจากตลาดมือถือและคอมพิวเตอร์แล้ว John Deere ผู้ผลิตเครื่องจักรการเกษตรรายใหญ่ ก็ปรับตัวเข้ากับนโยบายนี้ด้วยการยินยอมให้ช่างซ่อมอิสระ ทำการซ่อมอุปกรณ์แบรนด์นี้ได้อีกด้วย
หวนคืนสู่ดีไซน์เดิม

จุดที่น่าสนใจก็คือ… ไม่ว่ามือถือ iPhone หรือ Android มักจะมีปัญหายอดฮิตเหมือนกันหมดเลยคือ “แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ” จากการใช้แล้วชาร์จวนซ้ำไปมาในทุก ๆ วัน โดยมาสาเหตุหลัก ๆ มาจากความจุแบตเตอรี่ที่ต่ำ และการกินพลังงานอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่เปิดเครื่องไว้
จนกระทั่งช่วงเดือนมิถุนายน ที่สหภาพยุโรป เริ่มประกาศกฎหมายให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ Smartphone, แท็ปเล็ต และยานพาหนะไฟฟ้า ต้องออกแบบให้สามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่เองได้ โดยไม่ต้องพึ่งช่างหรือเข้าศูนย์… ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ยุโรป แต่จะบังคับใช้กันแบบทั่วโลกด้วย
คนที่ดูน่าจะปวดหัวเป็นพิเศษก็คือฝั่งของคนออกแบบมือถือและแท็ปเล็ต เนื่องจากการออกแบบของสินค้ากลุ่มนี้นั้น ต้องยืนบนพื้นฐาน “บางและเบา” และเรื่องของงานประกอบที่ต้องแน่นหนา เพราะอะไรที่ต้องขยับบ่อย ๆ มันมักจะชำรุดได้ง่าย และอาจกระทบต่อส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง… ยิ่งมือถือที่มีฟีเจอร์กันน้ำก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เมื่อถอดฝาหลังแล้วจะคงประสิทธิภาพการกันน้ำ ไม่ให้ไปโดนขั้วไฟฟ้าของแบตเตอรี่ได้เหมือนเดิม… และอีกสาเหตุที่ทำให้ผู้ผลิตเลี่ยงที่จะทำให้มือถือสามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ เพราะมันจะทำให้เครื่องดูหนาเทอะทะ และดูไม่พรีเมี่ยม… ใช่ สินค้าหลาย ๆ อย่างนี่พยายามจะขายความพรีเมี่ยมเหลือเกิน


“สิทธิในการซ่อม” แม้ในไทยจะไม่ใช่ของใหม่เท่าไหร่ และกลายเป็นหัวข้อที่ถูกลืมไปนานในสังคมผู้บริโภค หลังจากต้องวิ่งเต้นตามแผนการตลาดและเทคโนโลยีมาหลายสิบปี แต่การที่เราจะมีทางเลือกที่คุ้มค่า, สมเหตุสมผล และตรงจุดมากขึ้นมากขึ้น เชื่อได้ว่ามันจะตอบโจทย์ความคุ้มค่าสำหรับผู้บริโภคอย่างแน่นอน
เพราะเชื่อได้เลยว่าตอนนี้คงมีคนเริ่มเบื่อกับการเก็บเงินเพื่อวิ่งตามสินค้ารุ่นใหม่ ๆ ที่ตกรุ่นหรือเสียง่ายเต็มทีแล้ว โดยเฉพาะในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้
เนื้อหาน่าสนใจที่เกี่ยวข้อง
"Valve" ยืนยันแล้ว มีการวางขาย Steam Deck เครื่องซ่อมและตกแต่งใหม่ ราคาถูกกว่ามือหนึ่งราว 20%
EU เตรียมชงให้สินค้าเทคโนโลยีรวมเครื่องเกม ถอดแบตเองได้ หวังส่งเสริมส่งเสริมการรีไซเคิลใช้ใหม่ ภายในปี 2027
https://www.blognone.com/topics/right-to-repair
https://repair.eu/
https://www.repair.org/stand-up