Donnie Yen ชายผู้เคยอยู่ใต้ร่มเงาของ Jet Li

โดย
ตั๋วร้อนWorldwide ตั๋วร้อนWorldwide
เขียนเมื่อ 2 min read
Donnie Yen ชายผู้เคยอยู่ใต้ร่มเงาของ Jet Li
เจิ้นจื่อตัน หรือชื่ออินเตอร์ของเขาคือ Donnie Yen แม้ว่าเส้นทางของเขาในการแสดงจะไม่ได้เต็มไปด้วยขวากหนามอะไรแต่การที่ต้องอยู่ใต้ร่มเงาของนักบู๊ด้วยกันอย่าง หลี่เหลียนเจี๋ย ( Jet Li ) นั่นก็เกือบทำให้เขาถอดใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็สามารถกลับมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของนักแสดงสายกังฟูได้ในวัย 40 กว่าๆ ซึ่งร่างกายและศักยภาพของเขายังถือว่าฟิตปั๋งอย่างน่าอัศจรรย์เรามาทำความรู้จักเขากัน


เจิ้นจื่อตัน เกิดที่เมืองกว่างโจว ประเทศจีน แม่ของเขาคือ Bow-sim Mark เธอเป็นสุดยอดปรมาจารย์กังฟู ที่เปิดสำนักในอเมริกา และเธอคนนี้แหละที่ถูกหยิบคาแร็คเตอร์ไปใช้ในหนัง Crouching Tiger, Hidden Dragon ซึ่งรับบทโดย หยังจื่อฉุน ( Michelle Yeoh ) ส่วนพ่อของเขา Kylster Yen เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และนักดนตรี และเขามีน้องสาวชื่อว่า คริส เยน ( Chris Yen )



เมื่อ เจิ้นจื่อตัน อายุเพียง 2 ขวบ ครอบครัวพาเขาย้ายจากแผ่นดินจีนไปปักหลักในฮ่องกง จากนั้นเมื่ออายุ 11 ปี ก็พากันหอบผ้าหอบผ่อนย้ายไปอยู่บอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ นั่นทำให้ เจิ้นจื่อตัน ถือเป็นพลเมืองอเมริกา และได้เปรียบทางด้านภาษาไปเต็มๆหากเทียบกับคนจีนด้วยกัน ด้วยความที่ค่อนข้างมีพรสวรรค์ทางด้านศิลปะ พ่อจึงจับเรียนดนตรี นั่นทำให้เขาเก่งเปียโนมาก แต่เมื่อเกิดมาเป็นลูกชายนักสู้ เจิ้นจื่อตัน ขอคุณแม่เรียนกังฟูอย่างจริงจัง รวมถึงน้องสาวอย่าง คริส เยน ด้วย



เมื่อเริ่มเติบโตเป็นวัยรุ่น และร่ำเรียนวิชาจากคุณแม่จนเก่ง เจิ้นจื่อตัน เริ่มแสวงหาหนทางนักสู้ใหม่ๆ โดยได้เข้ารับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แขนงต่างๆเท่าที่จะเรียนได้ ทั้งคาราเต้ญี่ปุ่น เทควันโดเกาหลี และ มวยตะวันตก นอกจากนี้เขายังฝึกเต้นสไตล์ฮิปฮอปและเบรกแดนซ์ด้วย



ตามประสาวัยรุ่นคึกคะนอง เขามักใช้ช่วงกลางคืนใน Combat Zone ย่านโลกีย์ชื่อดังของบอสตัน นั่นทำให้พ่อกับแม่เริ่มเป็นห่วง ประกอบกับมีแมวมองจากทีมปักกิ่งวูซูในจีนมาทาบทามเขาให้ไปร่วมทีม พวกท่านจึงตัดสินใจส่งเขากลับไปเมืองจีนเพื่อฝึกวิชาที่สำนักวูซูในทีมปักกิ่งวูซู ที่ซึ่งได้ฝึกฝน หลี่เหลียนเจี๋ย หรือ Jet Li ให้เป็นแชมป์วูซูของจีนเช่นกัน

แต่เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อมีชีวิตตามกรอบ เมื่อร่ำเรียนได้ระดับหนึ่ง เจิ้นจื่อตัน กลับสู่อเมริกาอีกครั้ง แล้วลงแข่งขันวูซูหลายรายการแล้วสามารถคว้าเหรียญทองได้มากมาย หลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปที่ฮ่องกงเพื่อตามความฝันในการเป็นแอ็คชั่นสตาร์ในแบบที่ บรูซ ลี ( Bruce Lee ) เคยเป็น แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เขาจึงตัดสินใจย้ายกลับไปที่บอสตัน แต่ก่อนที่เขาจะกลับไปนั้น เขาก็ได้พบกับ หยวนเหอผิง ( Yuen Woo-ping ) ผู้กำกับหนังแนวศิลปะการต่อสู้ชื่อดัง ( ออกแบบคิวบู๊ใน The Matrix ) และตัดสินใจร่วมงานกันในที่สุด ซึ่งประเดิมผลงานเรื่องแรกจากการที่เขารับบทสมทบในหนัง Shaolin Drunkard ปี 1983 และในปีต่อมาเขาก็ได้ก้าวสู่บทนำกับหนังกังฟูไท้เก๊กอย่าง Drunken Tai Chi ปี 1984 แล้วผูกปิ่นโตทำงานกับ หยวนเหอผิง ในหนังหลายเรื่อง เช่น Mismatched Couples , Tiger Cage 1-2 , และ In the Line of Duty 4: Witness



แต่ในช่วงเวลานั้น หลี่เหลียนเจี๋ย เองก็เริ่มสร้างชื่อในฐานะแอ็คชั่นสตาร์ของจีนที่มามีผลงานโด่งดังในฮ่องกง ทำให้ เจิ้นจื่อตัน ไม่ได้รับแสงสปอตไลท์เท่าที่ควร อาจเพราะบุคลิกซ้ำกัน และ หลี่เหลียนเจี๋ย ก็เป็นลูกรักของผู้กำกับแห่งยุคอย่าง ฉีเคอะ ที่หยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด นั่นทำให้ เจิ้นจื่อตัน ใช้ชีวิตไปๆมาๆระหว่างฮ่องกง กับ อเมริกา เป็นว่าเล่น

แต่สไตล์ของ เจิ้นจื่อตัน ค่อนข้างเป็นการดีไซน์คิวบู๊ร่วมสมัย เขาได้ดัดแปลงรูปแบบการต่อสู้อย่างมีเอกลักษณ์ของเขาเอง จากสกิลหลายๆศาสตร์รวมกัน ซึ่งมีลักษณะการต่อสู้ที่รวดเร็ว ทั้งการเตะ รวมถึงการประยุกต์เอาการชกมวยแบบตะวันตกมาใช้ แต่นั่นอาจเป็นข้อเสียที่คนจีน-ฮ่องกง ยังไม่เปิดใจรับ เพราะยุคนั้นคนจีนมักยังติดภาพจำศาสตร์กังฟูดั้งเดิมอยู่ ซึ่งในข้อนี้มีในตัว หลี่เหลียนเจี๋ย ครบครัน



แล้วทั้งสองก็โคจรมาเจอกันกับหนัง Once Upon A Time In China 2 หรือ หวงเฟยหง ภาค 2 ถล่มวังบัวขาว จากการทาบทามของ ฉีเคอะ จึงทำให้ชื่อของ เจิ้นจื่อตัน เริ่มก้าวขึ้นมาในฐานะดารากังฟู จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเวที Hong Kong Film Awards ทว่าบทที่เขาได้รับคือตัวร้ายนี่สิ เจิ้นจื่อตัน จึงกลายเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของ หลี่เหลียนเจี๋ย ไปโดยปริยาย แทนที่จะได้ถูกจดจำในฐานะพระเอกแห่งยุค



ตอกย้ำความเป็นวายร้ายด้วยผลงานของฉีเคอะอีกเรื่องคือ New Dragon Gate Inn เดชคัมภีร์แดนพยัคฆ์ ซึ่งก็มี หลี่เหลียนเจี๋ย เป็นพระเอกเช่นกัน แต่ เจิ้นจื่อตัน ก็ไม่ละความพยายามที่จะสร้างชื่อในฐานะพระเอกให้ได้ โดยการหวนกลับมาร่วมงานกับ หยวนเหอผิง อีกครั้งกับ Iron Monkey มังกรเหล็กตัน เขารับบทเป็น หวงฉีอิง พ่อแท้ๆของ หวงเฟยหง

Iron Monkey เรื่องนี้สนุกจนสตูดิโอ Miramax ของอเมริกาได้ซื้อไปฉาย มีการตัดต่อใหม่ บันทึกเสียงใหม่ และออกฉายวงกว้างในโรงภาพยนตร์ของสหรัฐอเมริกา ก่อนจะได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากจากนักวิจารณ์ และได้รับรางวัลจาก Taurus Awards นั่นทำให้ เจิ้นจื่อตัน เริ่มมีชื่อเสียงในฐานะแอ็คชั่นฮีโร่คนหนึ่ง นอกเหนือจาก เฉินหลง หลี่เหลียนเจี๋ย แต่ก็ยังไม่ใช่แถวหน้าอยู่ดีเช่นกัน



เจิ้นจื่อตัน รับงานแสดงในละครทีวีของ ATV ซึ่งดัดแปลงจากหนังคลาสสิกของ Bruce Lee เรื่อง Fist of Fury ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง และทำเรตติ้งได้ดีทั่วโลก มีคนบอกว่านั่นเพราะเงาความสำเร็จของ Bruce Lee ทำไว้ต่างหาก และมันมาต่อยอดความสำเร็จของ หลี่เหลียนเจี๋ย กับหนังอย่าง Fist of Legend ไอ้หนุ่มซินตึ้ง หัวใจผงาดฟ้า ที่สร้างจากโครงเรื่องเดียวกัน Fist of Fury ถึงได้ดังขึ้นมาได้ นั่นทำให้เขาก็ยังไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแอ็คชั่นสตาร์แถวหน้าอยู่ดี หากเทียบกับดาราคนอื่นๆ

เจิ้นจื่อตัน เริ่มชิมลางกำกับงานตนเองครั้งแรกใน Legend of the Wolf ตำนานจ้าวหมาป่า เรื่องนี้นี่เองที่ผู้กำกับระดับตำนานอย่าง Francis Ford Coppola ได้ชมแล้วยกนิ้วให้ว่านี่คือหนังแอ็คชั่นฮ่องกงที่ยอดเยี่ยม จากนั้นเขาก็กำกับหนังอย่าง Ballistic Kiss ซึ่งก็ได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติเช่นกัน จากการฉายในเทศกาลอูดิเนที่อิตาลี รวมถึงเทศกาลภาพยนตร์แอ็คชั่นนานาชาติยูบาริของญี่ปุ่น อีกด้วย


ความสำเร็จเริ่มมีให้เห็นในระดับนานาชาติ แต่ชื่อเสียงในฮ่องกงของ เจิ้นจื่อตัน ยังคงถูกกลบจาก หลี่เหลียนเจี๋ย และยิ่งโดยเฉพาะเป็นยุคที่ หลี่เหลียนเจี๋ย ประเดิมเล่นหนังในฮอลลีวู้ด นั่นคือ Lethal Weapon 4 นั่นส่งผลให้ หลี่เหลียนเจี๋ย คือราชาหนังกังฟูเบอร์ 1 ในขณะนั้น

เหมือนจะยอมรับชะตากรรม การอยู่ใต้ร่มเงาของ หลี่เหลียนเจี๋ย จึงทำให้ เจิ้นจื่อตัน เริ่มห่างหายไปจากวงการหนังฮ่องกง แล้วไปรับงานออกแบบคิวบู๊ในหนังฮอลลีวู้ดเกรดรองอย่าง Highlander: Endgame พร้อมร่วมแสดงในบทบาทสมทบ จนกระทั่งฝีมือของเขาไปเข้าตาผู้กำกับ Guillermo del Toro ที่กำลังจะทำภาคต่อ Blade II เจิ้นจื่อตัน รับหน้าที่ออกแบบคิวบู๊ และร่วมแสดงนำในบท Snowman ซึ่งเขามีความโดดเด่นมากทั้งฉากหน้าและฉากหลัง จึงกลายเป็นที่ต้องการตัวของฮอลลีวู้ด



ในปีเดียวกันกับที่ Blade II เข้าฉาย เจิ้นจื่อตัน ก็ได้โคจรมาเจอกับ หลี่เหลียนเจี๋ย อีกครั้งในหนัง Hero ของผู้กำกับ จางอี้โหมว ราวกับหนีโชคชะตาร่มเงาของเขาไม่พ้น แต่ดูเหมือนว่าบทบาท ฟ้าเวิ้ง ของเขา แม้จะไม่ใช่พระเอก แต่กระบวนยุทธในหนังของ เจิ้นจื่อตัน ทำให้โลกเริ่มรู้จักเขาขึ้นไปอีกระดับ นั่นเพราะหนัง Hero นั้นได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในฐานะหนังจีนคุณภาพ โดยกวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 177.4 ล้านเหรียญ นักแสดงทุกคนในหนังล้วนได้รับการกล่าวถึง ทั้ง จางม่านอวี้ , เหลียงเฉาเหว่ย รวมถึง เจิ้นจื่อตัน ด้วย



เป็นการเริ่มต้นที่สดใสในระดับนานาชาติเลยก็ว่าได้ เพราะปีต่อมา เจิ้นจื่อตัน ก็มีหนังฮอลลีวู้ดที่เล่นกับเฉินหลงอีกเรื่องคือ Shanghai Knights ผลพวงจากความโดดเด่นของเขาจากทั้ง Hero และ Blade II นั่นเอง

หลังจากนั้น เจิ้นจื่อตัน ก้าวเท้าเหยียบแผ่นดินฮ่องกงอีกครั้งในฐานะดารากังฟูคุณภาพที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เขาออกแบบคิวบู๊และร่วมกำกับในภาพยนตร์แฟนตาซี-สยองขวัญ-คอมเมดี้เรื่อง The Twins Effect คู่พายุฟัด ภาค 1 และ 2 และในปี 2005 เขาก็ก้าวสู่การเป็นดาราแอ็คชั่นเบอร์ต้นของเกาะฮ่องกงด้วยผลงาน SPL: Sha Po Lang ที่เขาเข้าร่วมกับผู้กำกับ วิลสัน ยิป ( Wilson Yip ) ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาได้ร่วมกับ เจิ้นจื่อตัน สร้างหนังฮิตหลายๆเรื่องเช่น Dragon Tiger Gate , Flash Point , แล้วมากระหึ่มสุดๆใน ยิปมัน Ip Man



หลังจากนั้นก็ไม่มีใครไม่รู้จัก เจิ้นจื่อตัน หรือ Donnie Yen แอ็คชั่นสตาร์ผู้เคยอยู่ใต้ร่มเงาของ หลี่เหลียนเจี๋ย เขาได้กลับไปลบปมของเขาได้สำเร็จจากการที่รับเล่นเป็น เฉินเจิน หรือ ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง อีกครั้งใน Legend of the Fist: The Return of Chen Zhen ปี 2010 คราวนี้ไม่มีเสียงนินทาว่าเขาเดินตามความสำเร็จคนอื่นอีกแล้ว

ปัจจุบัน เจิ้นจื่อตัน เป็นที่ต้องการตัวทั้งในระดับฮอลลีวู้ด และ เอเชีย เขาได้เข้าร่วมจักรวาล Star wars ใน Rogue One ได้ร่วมงานกับ Vin Diesel ใน xXx : Return of Xander Cage ได้นำแสดงในหนัง Disney อย่าง Mulan และล่าสุดเขาได้เข้าร่วมจักรวาล John Wick ของ Keanu Reeves แต่ก็ยังมีผลงานที่เป็นหนังจีน-ฮ่องกงให้ได้เห็นควบคู่ไปด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าในวัย 59 ปี เขายังคงรักษาร่างกายไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม และในวันนี้เขาไม่ได้อยู่ใต้ร่มเงาใครอีกต่อไป





เนื้อหาน่าสนใจที่เกี่ยวข้อง

หลิวเต๋อหัว อดีตช่างทำผม ผู้เคยได้รับโอกาส และ ให้โอกาส
ปลายยุค 90 ช่วงที่คำว่า "Go Hollywood" คือจุดสูงสุดของดารา-ผู้กำกับจีน-ฮ่องกง
คิวบู๊แบบ “หนังฮ่องกง” มรดกความมันส์ ที่ส่งต่อสู่หนัง Hollywood รุ่นหลัง

More from us

เราจะจับทุกอย่างสิ่งมารีวิวว่ามันร้ายกาจขนาดไหน
รักหมารักแมวรักการเล่นเกม!