
เมื่อพูดถึงนักกีฬาอีสปอร์ตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของไทย ทรี - หนึ่งนรา ธีรมหานนท์ หรือ 23savage โปรเพลเยอร์เกม Dota 2 ถือเป็นหนึ่งในนั้น จากผลงานการเป็นผู้เล่นคนแรกของโลกที่ก้าวถึงระดับ 12,000 MMR หรือการผ่านเข้าแข่งขันทัวร์นาเมนต์ The International
แต่เมื่อมองไปยังชีวิตนอกสนามแข่งขัน การเดินทางของ 23savage สู่เวทีอีสปอร์ตยังสร้างความสนใจในวงกว้าง เพราะเขาเลือกขอคุณแม่ออกจากโรงเรียนตั้งแต่ยังไม่จบชั้นมัธยมต้น ถือเป็นการตัดสินใจที่ขัดแย้งกับความต้องการของผู้ปกครองส่วนใหญ่ในเมืองไทย ที่ย่อมอยากเห็นลูกได้ดีบนเส้นทางวิชาการ
หากเป็นครอบครัวอื่นคำขอของน้องทรีอาจถูกปฏิเสธได้โดยง่าย แต่สำหรับครอบครัวธีรมหานนท์ พวกเขากลับคิดต่างด้วยการปล่อยให้ลูกชายคนเล็กเดินบนเส้นทางฝัน และยังพร้อมสนับสนุนเขาในฐานะนักกีฬาอีสปอร์ตอย่างเต็มที่

The E World ตัดสินใจเดินทางมาพูดคุยกับคุณแม่ กินรา ธีรมหานนท์ บุคคลที่ไม่เพียงอยุ่เบื้องหลังความสำเร็จของ 23savage แต่ยังเป็นเพียงไม่กี่คนที่เฝ้ามองการเติบโตของน้องทรี ตั้งแต่ช่วงวัยที่เป็นเด็กเรียนดี สู่วันเวลาที่ลูกชายหันหลังให้การศึกษาเพื่อเอาดีบนเส้นทางเกม
ความคิดของคุณแม่ที่มีต่อลูกชายคนนี้เป็นอย่างไร ติดตามได้ในการสนทนานับจากนี้ …
อยากให้คุณแม่ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าน้องทรีเป็นคนอย่างไร เมื่อย้อนกลับไปตอนที่เขายังเป็นเด็ก

น้องทรีเป็นเด็กซน (หัวเราะ) เป็นคนมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ดื้อด้วย อย่างตอนเขาเรียนอนุบาล ถ้าแม่ไปแอบดูเขาที่โรงเรียน ทรีจะนั่งหน้าห้อง แล้วเหมือนกับเขาเป็นเด็กที่ความจำดี ถ้าตั้งใจฟังตอนครูสอน ก็จะทำให้ผลการเรียนค่อนข้างดี ตอนเด็กแม่เลยไม่เคยกังวลเรื่องเรียนของทรี เพราะว่าผลการเรียนดี โดยเฉพาะภาษาอังกฤษคือได้เกรด 4 ตลอด
ตอนนั้นคุณแม่ได้คาดหวังหรือวางแผนให้น้องทรีหรือไม่ว่า โตขึ้นมาเขาต้องประกอบอาชีพอะไร
ความจริงไม่ได้คาดหวังว่าเขาต้องโตขึ้นมาทำงานอะไร ตอนนั้นแค่ส่งลูกไปเรียนโปรแกรมสองภาษา เพราะแม่มองว่าถ้าลูกได้โอกาสเรียนตั้งแต่อนุบาล สมองเด็กน่าจะซึมซับได้ดีกว่า ประกอบกับทรีชอบภาษาอังกฤษด้วย
คุณแม่ก็จะพาเขาไปเรียนพิเศษกับครูตลอดทุกวันหยุด คือจนถึงมัธยมก็จะเรียนสองภาษามาตลอด พอโตลูกได้ใช้ภาษาอังกฤษที่เขาชอบเรารู้สึกว่ามันมีประโยชน์ จะแตกต่างกับเด็กที่ไม่ได้ภาษา
แต่ในใจแม่ไม่ได้มีโฟกัสให้เขาโตขึ้นมาเป็นอะไร ไม่ได้ขนาดนั้น เพียงแต่เลี้ยงเขาอย่างสบาย ๆ เหมือนเป็นเพื่อน ไม่ได้ซีเรียสหรือเครียดเรื่องเรียนจนเกินไป ไม่ต้องยัดเยียดเรื่องวิชาการอะไรขนาดนั้น เพราะเรียนพิเศษคือภาษาอังกฤษอย่างเดียว วิชาอื่นก็ไม่ได้ส่งไปเรียน
แล้วน้องทรีเคยคุยกับคุณแม่บ้างไหมว่า โตขึ้นเขาอยากเป็นอะไร
ตอนเด็กถ้าถามว่าทรีโตขึ้นอยากเป็นอะไร เขาจะตอบว่าอยากเป็นแฮกเกอร์ (หัวเราะ) คือครอบครัวทรีจะมีพี่น้อง 3 คน เป็นผู้ชายหมดเลย แล้วพี่ชายคนโตกับคนรองมีอายุห่างกันหนึ่งปี แต่ทรีกับพี่เขาห่างกัน 6 ปี แล้วพี่ชายทั้งสองคนคุณแม่จะชอบพาไปว่ายน้ำ
แต่สำหรับทรีพออายุห่างกับพี่สองคนห่างกับพี่สองคนเยอะ เขาก็ไม่ค่อยไป แต่จะอยากอยู่บ้านเล่นเกมแทน คือแม่พยายามพาเขาเดินไปทางเดียวกันนะ แต่ด้วยวัยที่มันต่าง บางทีลูกอีกคนชอบอีกแบบ เราก็ไม่ได้บังคับ

หลังจากนั้นเวลาชวนทรีไปเที่ยวที่ไหน เขาก็จะตอบแค่ว่า ไม่ ทรีอยากอยู่บ้าน เพราะอยากเล่นเกม ความจริงการเล่นเกมคือเริ่มจากพี่ชายเขาก่อนนะ แล้วทรีมานั่งดู พี่ก็ช่วยสอนเล่น แต่ไปมาตัวเองเล่นเยอะกว่าพี่ เพราะว่าแม่เวลาชวนพี่ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน เขาก็ไปไง แต่ทรีจะอยู่จดจ่อกับเกมมาก
ดูเหมือนว่าน้องทรีจะชอบเล่นเกมมากตั้งแต่เด็ก คุณแม่กังวลไหมในช่วงเวลานั้นที่ลูกของเราชีวิตติดเกมพอสมควร
ถามว่ากังวลไหม ความจริงคือแม่เป็นห่วงเรื่องเรียน เพราะว่าพอโตขึ้นมันเห็นผลชัดว่าผลการเรียนเขาแย่ลง บางทีตื่นเช้า นอนดึก มันก็มีผลกระทบกับการเรียน ถ้าจำไม่ผิดคือช่วงม. 2-3 ที่ผลการเรียนเขาแย่ลงแบบเห็นชัด
คือตอนเด็กแม่เป็นห่วงแค่เรื่องสายตา เพราะว่าเขาเริ่มเล่นเกมจากโทรศัพท์มือถือ แล้วต้องจ้องอยู่แต่กับจอเล็ก ๆ อยู่ตลอด แม่ก็ห้ามเพราะกลัวลูกสายตาสั้น แล้วทรีก็ใส่แว่นตาตั้งแต่เด็ก

พอโตขึ้นแล้วเปลี่ยนเป็นเล่นเกมคอมในคอมพิวเตอร์ แม่ก็จะทะเลาะกับทรีเรื่องห้ามเล่นเกม เรื่องแอบปิดเน็ต เรื่องอะไรทำนองนี้ตลอด เพราะแม่เป็นห่วงเรื่องการเรียน คือเขาต้องมีความรับผิดชอบ รู้จักหยุดเล่นเกมเพื่อมาทำการบ้าน แต่บางทีเด็กเล่นเกมแล้วมันต่อเนื่อง เขาก็เริ่มไม่รู้เวลา
ตอนนั้นคือบอกแล้วไม่ฟัง เราก็เลยต้องใช้วิธีฮาร์ดคอร์ ปิดเน็ตบ้าง ซ่อนโมเด็มบ้าง เพราะเขาเล่นไปเรื่อย 2-3 ชั่วโมง โดยไม่รู้จักแบ่งเวลา ก็เลยทำให้แม่รู้สึกว่า ถ้าเราปล่อยไปเขาจะเสียนิสัย ไม่รับผิดชอบเรื่องการเรียน
แต่คุณพ่อจะให้ท้ายทรีนะ สบาย ๆ แม่ก็คิดว่าถ้าอีกคนตามใจ แล้วอีกคนห้าม ทรีจะฟังใคร แต่พ่อเขาไม่ซีเรียสไง ก็เล่นที่บ้าน อยู่ในสายตา ดีกว่าออกไปเล่นร้านเกมข้างนอก คราวนี้พอแม่ปิดเน็ต ทรีก็จะมาฟ้องพ่อ พ่อก็จะมาดุแม่ (หัวเราะ) คือจะมีปัญหาเรื่องแบบนี้ แต่เหตุผลของพ่อคือดีกว่าลูกไปเล่นข้างนอก ให้เล่นที่บ้าน เราก็จะได้เห็นว่าเขาทำอะไร
ในช่วงเวลานั้น น้องทรีเคยพูดให้คุณแม่ฟังหรือไม่ว่า เขาอยากเดินบนเส้นทางอีสปอร์ตในฐานะนักกีฬาอาชีพ
ตอนนั้นทรีน่าจะอายุ 14 ที่เขาเริ่มพูดให้แม่ฟังว่า เขามีความสามารถด้านนี้ คือแม่จำได้ว่าคือเคยนอนคุยกันที่บ้าน อยู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “แม่ ทรีอ่ะไปได้ไกล” เขาพูดขึ้นมาเองนะ แล้วแม่ก็ถามว่า ทรีไปได้ไกลเรื่องอะไร ? เขาตอบว่า เรื่องเกม
จากนั้นทรีก็เริ่มพูดให้แม่ฟังว่า มีนักแข่งอายุแค่ 17 ปี ที่เล่นเกมจนมีรายได้เป็นหลักร้อยล้าน คืออันนี้เขาหาข้อมูลเอง แล้วทีคงมองว่าเขาน่าจะทำได้ไม่ต่างจากน้องคนนั้นเลยมาพูดให้แม่ฟัง แต่พอเราได้ยินว่าทรีจะไปได้ไกลเรื่องเกม มันก็แบบ ทำไมลูกไม่ได้ดั่งใจเรา เพราะมันไม่ใช่เป้าหมายเรื่องเรียนเรื่องวิชาการ

แม่ก็บอกว่า ในมุมของแม่มันยังเป็นเรื่องไกลตัว หนูยังเด็กอยู่เลย แล้วเขาระดับนั้นมันต้องใช้เวลาขนาดไหน เขาเป็นระดับโลก คือมันเพ้อฝันนะในมุมของแม่ ก็เลยไม่ได้คิดอะไร แต่ในมุมลูกเขาก็คงจะศึกษา อาจจะมีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้ว ตรงนี้เหมือนอาจจะเหมือนเปรยหยั่งเชิงความคิดของเราหรือเปล่า เรื่องนี้แม่ก็ไม่รู้นะ
แล้วคุณแม่พอจะมองเห็นหรือสัมผัสได้ไหมว่า น้องทรีเขาเก่งเรื่องการเล่นเกมมากกว่าคนอื่นจริง ๆ
เริ่มรู้สึกตอนทรีเล่นเกมที่มันยากกว่าวัยของเขา เช่น Dota 2 ซึ่งมันเป็นเกมวางแผน มันจะต่างจากเกมยิงปืนหรือเกมอะไรที่มันง่ายกว่านั้น แม่ก็รู้สึกว่า เขาน่าจะมีความสามารถในการเล่นเกมที่มันยากขึ้นไปสเต็ปหนึ่ง แต่ก็แค่คิดเฉย ๆ ไม่ได้พูดอะไรให้เขาฮึกเหิมว่าตัวเองเก่ง อีกอย่างคือทรีไม่ค่อยเล่าเรื่องแบบนี้ให้แม่ฟังเท่าไหร่ เพราะรู้ว่าลึก ๆ เราไม่สนับสนุน
ทรีเหมือนกับเป็นคนที่เรียนรู้เองแล้วทำมากกว่า ถ้าแม่จำไม่ผิดเหมือนแม่เพิ่งมารู้เรื่องพวกนี้ตอนทรีจะมีแมตช์แข่ง คือวันนั้นเป็นครั้งแรกที่ทรีต้องไปแข่งแบบตัวต่อตัวแล้วไม่มีใครไปส่ง เพราะขอให้พี่ไปส่ง แต่พี่ไม่ไป ก็เลยต้องเป็นแม่

แม่ขับรถพาไปแข่งที่ร้านเกมแถวรามคำแหง 2 แล้วแม่ก็ถามว่า รุ่นพี่ในทีมเป็นใคร ทรีก็บอกว่าหาเองในออนไลน์ ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาหรือคนที่ทำงานแล้ว แข่งด้วยกันผ่านรอบคัดเลือกเลยได้มาเล่นรอบชิง อันนั้นเป็นแข่งรายการแรกของทรีที่แม่ไปนั่งเฝ้า แล้วเขาแข่งแปบเดียวแพ้ ตกรอบเลย (หัวเราะ)
วันนั้นที่คุณแม่ได้เห็นน้องทรีลงแข่งขันจริง ทำให้มุมมองของคุณแม่เกี่ยวกับเส้นทางของน้องในฐานะนักกีฬาอีสปอร์ตเปิดกว้างมากขึ้นหรือเปล่า
วันนั้นที่แพ้ คุณแม่ก็บอกเขาว่าไม่เป็นไร แต่หลังจบเกมเหมือนมีคนเข้ามาถ่ายสัมภาษณ์ทีมน้องตอนที่แพ้ แล้วทรีอายุน้อบที่สุด เขาก็เลยเลือกทรีมาสัมภาษณ์ น้องก็พูดเหมือนประมาณว่า ทีมที่เขาเจอเป็นทีมใหญ่ เดี๋ยวสักวันเขาจะมาตบ อะไรทำนองนี้ (หัวเราะ) แม่ก็คิดว่า โห กล้าพูดแบบนี้เลยนะ แต่มันทำให้แม่มองเห็นนะว่าทรีเป็นเด็กที่มีเป้าหมาย แล้วสิ่งที่เขาพูดส่วนใหญ่คือเขาพยายามจะทำให้ได้
หลังจากที่แพ้รอบนั้น ทรีก็ยังคงหารายการแข่ง ยังตั้งเป้าพัฒนาอันดับอะไรของเขา เพราะตอนที่คุยกันช่วงแรก ทรียังอันดับต่ำมากเลย แล้วเขาพูดให้แม่ฟังตอนขับรถไปส่งที่โรงเรียนว่า “แม่ ทรีจะก้าวไปอันดับ 100 ของไทยให้ได้” แล้วเขาก็ทำได้จริงในเวลาที่ไม่นานมาก

แม่ก็รู้สึกว่า ลูกเราทำได้อย่างที่ตัวเองพูด ประกอบกับช่วงนั้นหลังจากคุยกันไม่นาน อีสปอร์ตถูกบรรจุเป็นกีฬาอย่างเป็นทางการในไทย แม่เลยมีความรู้สึกว่า มันอยู่ในจังหวะที่ลูกเรากำลังสนใจ แม่ก็มองว่ามันเข้าท่านะ
ถ้าลูกชอบแบบนี้จริง ๆ แล้วเรามองจากความสามารถ ทรีก็พูดให้เห็นว่าเด็กในวัยเดียวกันยังทำอันดับไม่ได้แบบนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าทรีจริงจัง แม่ก็จะไปดูเลยว่ามหาลัยไหนเปิดหลักสูตรที่สอนด้านนี้ แม่ก็พูดให้เขาฟังแล้วเก็บเป็นข้อมูลไว้ เผื่อลูกอยากเรียนด้านนี้จริงจัง มันน่าจะเป็นอาชีพได้
แต่น้องทรีเลือกจะไม่รอถึงระดับมหาวิทยาลัย เพราะเขาพุ่งไปสู่เส้นทางอีสปอร์ตเลยตั้งแต่จบชั้นมัธยมต้น ?
ตอนนั้นแม่ช็อคมากนะ คือเหตุผลที่น้องอยากจากโรงเรียน เป็นเพราะว่าทรีมีโอกาสไปที่แคนาดา คือเขาไปแข่งรายการหนึ่งแล้วชนะเลยได้ตั๋วไปดูแข่ง TI ที่แคนาดา 7 วัน (The International 2018) แล้วพอกลับมา ทรีบอกเลยว่า “แม่ ทรีไม่เรียนแล้วนะ”
แม่ยังคิดเลยว่าทรีพูดเล่นหรือเปล่าป่าว ก็เอาเรื่องนี้ไปคุยกับพี่ คุยกับพ่อ ทุกคนก็บอกไม่ได้ แค่ให้ไปดูแข่งเฉย ๆ ไม่ได้จะต้องไปจริงจังอะไรขนาดนั้น แต่ในมุมของทรี ลูกอาจจะคิดฝันไปไกลเกินกว่าที่เราเห็น เพราะวันถัดมาเขาก็ไม่ไปโรงเรียนเลย

คราวนี้แม่ก็ต้องไปคุยกับคุณครูที่โรงเรียน คุณครูเขาก็บอกไม่ได้ จะไปจริงจังอะไรขนาดนั้น อย่าคาดหวัง ให้เอาเรื่องเรียนเป็นหลักก่อน คือแม่กับครูคุยกันเยอะมาก จนคุณครูแนะนำว่าถ้าลูกจริงจังขนาดนี้ คุณแม่ให้สอบเทียบไหม เขาเรียก GED (General Educational Development) เป็นการสอบเทียบวุฒิม.ปลายในระบบอเมริกัน แล้วถ้าได้วุฒิอันนี้ลูกก็ไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยได้
เมื่อแม่ไปพูดให้ฟัง เขาก็สนใจนะ แต่เวลาแม่เข้าเน็ตเอาข้อสอบมาปริ้นท์ให้อ่าน ทรีก็ไม่ดู ไม่สนใจ แต่ถึงเวลาไปสอบก็ไป แล้วก็สอบผ่านหมด ทั้งที่ไม่ได้ไปอบรมอะไรแบบเด็กคนอื่น แม่ก็เลยเบาลง เพราะเขามีความมุ่งมั่น สอบเทียบก็ทำได้ แม่เลยคิดว่า ถ้าทรีไม่อยากเรียนจริง ๆ ฝืนไปมันก็ไม่มีประโยชน์
แล้วแม่รู้สิสัยทรีว่า ไม่ก็คือไม่ แล้วถ้าอยากทำให้ได้ก็จะทำ ยิ่งช่วงนั้นเรื่องเรียนของทรีไม่โอเค ผลการเรียนมาดร็อปลง การบ้านไม่ทำ ติด ร. ต้องไปสอบแก้ เพราะเขาไม่สนใจแล้ว ทิ้งเรื่องเรียนไปเลย โฟกัสแค่กับการสอบเทียบแทน ยิ่งช่วงหลังมาสนใจแต่เรื่องเกม เพราะทรีเริ่มมีทีมที่เขาซ้อมด้วย น้องก็บอกว่า “ทรีต้องรีบกลับบ้านแม่ ต้องรีบกลับไปซ้อมเกม”
เมื่อเป็นแบบนี้ ทรีก็จะอยากลาออกจากโรงเรียนจริงจัง แม่เลยต้องยอม เพราะเขาตั้งใจสอบเทียบเพื่อให้มีวุฒิอยู่ในมือ จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาตรงนั้น
อะไรที่ทำให้ให้ความคิดของคุณแม่ที่ช่วงแรกคือไม่เห็นด้วย เปลี่ยนมาเป็นสนับสนุนน้องทรีบนเส้นทางอีสปอร์ต
คือต้องบอกก่อนว่าแม่เป็นคนพาทรีไปแข่งแทบทุกแมตช์ จากตรงนั้นมันก็เหมือนว่าเราเริ่มสนับสนุนเขากลาย ๆ เพราะลูกรู้สึกว่า ถ้าฉันจะแข่งก็ให้แม่ไปส่ง แล้วประกอบกับช่วงนั้นเขาเอาชนะทีมอันดับหนึ่งของไทย ทั้งที่ไปแข่งในฐานะตัวสแตนด์บาย
ทรีเองก็ดีใจมากเพราะมันเกินความคาดหวังของเขาในเวลานั้น พอหลังจากจบแมตช์ แม่ก็เริ่มที่จะสนับสนุนเขาในหลายทาง เริ่มมีซื้อเก้าอี้เกมให้ เพราะเห็นลูกนั่งเล่นเกมอยู่ที่บ้านแล้วเก้าอี้มันไม่ได้ แม่ก็เป็นห่วงเรื่องสรีระ กลัวเรื่องปวดหลัง (หัวเราะ)

แม่คิดว่าลึก ๆ ทางบ้านก็คงไม่ได้อะไรกับทรีในเรื่องนี้มากแล้วเหมือนกัน แถมยังออกไปทางสนับสนุนเขาด้วยซ้ำ ไม่มีใครห้ามเขาเท่าไหร่ เพราะทุกคนเริ่มรู้สึกว่าทรีน่าจะทำได้ในแนวทางที่ตัวเองชอบ
คือถ้าอยู่บ้าน ทรีก็ยังเป็นเด็กธรรมดาที่แม่ยังต้องดูแล แต่ในมุมที่เขาชอบแล้วเชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้ ทรีจะเป็นเด็กที่มองไกลประมาณว่า ฉันอยากจะไปให้สูง ฉันอยากจะไปให้ไว อยากไปอยู่กับทีมที่จะทำให้เขาพัฒนาขึ้น น้องก็พัฒนาตัวเองอยู่ตลอด เพื่อให้อันดับหรือความสามารถของเขาไปเข้าตาทีมที่สนใจ
สิ่งที่แม่มองเห็นคือทรีจะพยายามพัฒนาตัวเองให้คนอื่นเห็นและยอมรับในความสามารถของเขา
น้องทรีใช้เวลาเพียงไม่นานเพื่อประสบความสำเร็จในระดับสูง ในฐานะที่น้องยังอายุไม่เยอะ เขาพูดคุยกับคุณแม่มากแค่ไหนในเรื่องหน้าที่การงานของเขา
คือเรื่องแบบนี้ทรีไม่ค่อยเล่านะ แม่ต้องสังเกตเอง เขาเป็นคนที่ไม่เล่าให้ใครฟังว่าตัวเองทำอะไรมาขนาดไหน ถ้าไปคุย เขาก็จะเล่าบ้าง แต่แม่รู้ว่าทรีได้ภาษาอังกฤษ เขาก็จะไปติดต่อกับคนในแวดวง คุยกับผู้เล่นต่างชาติเพื่อพยายามหาโอกาสให้ตัวเอง

อย่างที่เขาไปรู้จักกับ Forev ผู้เล่นที่เป็นชาวเกาหลี เขาไปคุยกันตอนไหนแม่ก็ไม่รู้ มารู้อีกตอนทรีไปออกสัมภาษณ์รายการหนึ่งว่ารู้จักกัน แล้วถ้าทรีอันดับเท่านี้ เขาจะชวนเขาเข้าทีม อันนั้นคือสิ่งที่ทรีทำเอง โดยที่เราไม่รู้ว่าลูกพัฒนาตัวเองจริงจังขนาดไหน
คุณแม่เห็นลูกชายตัวเองในแง่มุมไหนบ้าง เมื่อมองน้องทรีในฐานะ 23Savage นักกีฬาอีสปอร์ตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย
มันเหมือนเกินความคาดหวังเหมือนกันถ้ามองจากระยะเวลาที่น้องเริ่มไต่เต้ามาสู่ระดับนี้ แม่เองยังคุยกับพี่ชายทรีอยู่เลยว่า ไม่น่าเชื่อเหมือนกันที่น้องสามารถทำได้ในสิ่งที่เขาเคยพูดไว้ คือเขาเชื่อมั่นในตัวเองแล้วเขามีโอกาสที่จะก้าวไปตรงนั้น มันก็ค่อนข้างเร็วนะกับเป้าหมายที่ชัดเจนของเขา เพราะเราไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงเหมือนกัน
ตอนนี้ในมุมของแม่คือภูมิใจที่ลูกทำได้ตามที่เขาวางเป้าหมายไว้ เหมือนสิ่งที่เขาพูดหลายอย่าง เขามั่นใจในสิ่งที่พูด รู้สึกว่าเขาคงรู้ว่าตัวเองทำได้ถึงกล้าพูดแบบนั้น คือเรารู้ว่าเขาพยายามมากแค่ไหน เพราะมันไม่ได้ได้มาง่าย ๆ ต้องฝึก ทุ่มเท เสียสละ ยอมไม่เจอเพื่อน เพราะมีเป้าหมายว่าถ้าฉันทำได้ มันจะทำให้ทีมที่เราสนใจให้โอกาส อีกด้าน เขาก็ไม่มีอะไรให้เรากังวล ไม่ได้เกเร
มุมมองของครอบครัวตอนนี้ที่มีต่อน้องทรีบนเส้นทางอีสปอร์ตเป็นอย่างไร สนับสนุนเขาในแง่มุมไหนบ้าง
ตอนนี้ทุกคนที่บ้านก็สนับสนุนเขา พยายามช่วยให้ชีวิตเขาสะดวก ไม่ต้องกังวลกับเรื่องอื่นเวลามีแมตช์แข่ง อย่างตอนกลับจากต่างประเทศ เรื่องจองโรงแรมกักตัว ตั๋วเครื่องบิน พี่ชายเขาก็จะช่วย ถ้าในมุมของคนในครอบครัว ทรีก็จะเหมือนเดิม คือเราช่วยดูเรื่องอาหารการกิน เรื่องความสะดวกสบายของลูก
อีกอย่างหนึ่งที่ครอบครัวต้องดูแลคือเรื่องกำลังใจ คือคุยกันตลอด อย่างน้องไปแข่งที่ไหนจะไม่พลาดสักแมตช์ คือเราไม่ได้คิดว่าเป็นหน้าที่นะ เพราะมันเป็นความรู้สึกของเราเองว่า อยากให้กำลังใจลูก ทรีไม่ได้เหมือนเด็กที่ว่า ฉันจะแข่ง แม่ต้องมาเชียร์ฉัน เขาเป็นคนที่ไม่พูดไม่แสดงออกอะไรแบบนั้น
แค่เรารู้สึกของเราเองว่า เราอยากเชียร์เขานะ เราอยากเป็นส่วนหนึ่งกับเขา อยากให้กำลังใจลูกตลอด จะบอกเขาเสมอว่า พี่ ๆ หรือทุกคนในครอบครัวเชียร์ทรีอยู่นะ อยากบอกให้เขารู้ ก็โพสต์กันตลอดในกลุ่มไลน์ ไม่ว่าแพ้หรือชนะเราจะคุยกันเสมอ
แล้วในมุมมองอีกด้าน สำหรับคุณแม่คิดว่ามีด้านไหนในชีวิตที่น้องทรียังขาดอีกไหม แม้เขาจะประสบความสำเร็จบนเส้นทางอาชีพของตัวเองตั้งแต่อายุน้อยก็ตาม
แม่เป็นห่วงในเรื่องทำนองว่า อย่าไปเชื่อมั่นในตัวเองสูง หรืออย่าไปคาดหวังอะไรเยอะ เพราะเดี๋ยวไม่ได้ตามหวังแล้วจะผิดหวัง คือมันต้องเผื่อใจไว้บ้าง เพราะคนอื่นเขาก็เก่งไม่ใช่เราเก่งอยู่คนเดียว คนอื่นเขาก็พัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ช่วงนั้นทรีอาจจะเป็นเด็กที่อายุน้อยสุดในไทย แต่ตอนนี้มันก็มีเด็กต่างประเทศที่อายุน้อยกว่าเขา คือแม่พยายามเตือนไม่อยากให้ลูกคิดว่าฉันเก่ง ไม่อยากให้โอ้อวดอะไรแบบนั้น

อีกเรื่องคือเขาเอาตัวเองออกจากโรงเรียนเร็วกว่าเพื่อนคนอื่น สิ่งที่ทรีอาจจะขาดไปคือสังคมกับเพื่อนฝูง คือเขาเอาตัวเองมาอยู่กับอาชีพตั้งแต่เด็ก เมื่อมองอีกมุมทรีก็เหมือนเป็นคนไม่มีเวลานะ เพราะเขาเอาเวลาทั้งหมดไปทุ่มให้กับแคมป์ ส่วนหนึ่งที่จะใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น แบบไปเที่ยวชิลๆ หรือทักษะในการใช้ชีวิตทำนองนี้มันจะขาดไป อันนี้คือสิ่งที่ต้องเติมในมุมของแม่
ตอนนี้น้องทรีถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นไทยที่ได้ก้าวสู่รายการ The International 2022 คุณแม่รู้สึกอย่างไรกับความสำเร็จตรงนี้ของน้องบ้าง
สำหรับปีนี้คือดีใจมาก ตามเชียร์ตลอด เพราะว่าเหมือนน้องเท่ากับมาเริ่มใหม่เลยหลังออกจากทีมเก่า คล้ายจะเริ่มจากศูนย์ ทุกคนที่บ้านเลยให้กำลังใจกันเต็มที่ เชียร์สุด ๆ แต่แม่ก็ไม่ได้คาดหวัง เพราะกลัวลูกผิดหวัง กลัวตัวเองผิดหวังด้วย เพราะไม่รู้ว่ามันจะได้ไหม แต่ลึก ๆ ก็ยังมั่นใจว่าเขาจะทำได้
แล้วพอทำได้จริงคือแบบ ... ความรู้สึกมันเกินคำบรรยาย ซึ่งลึก ๆ เรายังมีความหวังว่าปีหน้าน้องน่าจะทำได้อีก มันเหมือนเป็นการเสพติดนะ เพราะว่าเขาก็ต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ในเมื่อเขาทำระดับนี้ได้ เขาก็น่าจะก้าวขึ้นไปได้อีก เมื่อมองจากศักยภาพที่น้องมีอยู่
ความฝันสูงสุดของคุณแม่ที่อยากเห็น 23Savage ก้าวไปถึงคืออะไร
ถือโล่เอจิส (ชนะรายการ TI) คือคิดเหมือนฝันเล่น ๆ เพราะโอกาสมันยังมี แม่มองว่าน้องไม่ได้มีอะไรมาปิดกั้นจากตรงนั้น ถึงคนอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องไกล แต่ถ้าทรียังทุ่มเทอยู่สม่ำเสมอ ยังพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อย ๆ หาโอกาสให้ตัวเอง โอกาสมันก็ยังมี ถ้าทรีมีความหวังเขาก็ยังมีพลังผลักดันตัวเองไปสู่จุดนั้นได้ แม่คิดว่ามันไม่น่าจะไกลเกินเอื้อมนะ